MusicPlaylistView Profile
Create a playlist at MixPod.com
ร่วมลงนาม ยกเลิกกฎหมาย 3 ฉบับ มั่นคงภายใน - กฎอัยการศึก - พ.ร.ก.ฉุกเฉิน
อินเทอร์เน็ตเพื่อกฎหมายประชาชน
Bookmark and Share

วันพฤหัสบดีที่ 3 มิถุนายน พ.ศ. 2553

มีเดียมอนิเตอร์ ชี้โลกออนไลน์ เหยื่อสังคมการเมือง

  • มีเดียมอนิเตอร์ ชี้โลกออนไลน์ เหยื่อสังคมการเมือง
  • Pic_87154

    มีเดียมอนิเตอร์ สรุปผลการศึกษาผลสำรวจปรากฎการณ์ความขัดแย้งทางการเมืองในเครือข่ายสังคมออนไลน์ พร้อมหยิบกรณี ทวิตเตอร์ เฟซบุ๊ค พันธิป และฟอร์เวิร์ลเมล มาเป็นแหล่งอ้างอิง...  

    วันนี้ (3 มิ.ย.) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย สมาคมนักข่าววิทยุและโทรทัศน์ไทย สถาบันอิศรา มูลนิธิพัฒนาสื่อมวลชนแห่งประเทศไทย คณะวารสารศาสตร์และสื่อสารมวลชน มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และโครงการศึกษาและเฝ้าระวังสื่อเพื่อสุขภาวะของสังคม ร่วมกันจัด การประชุมเครือข่ายวิชาการ และวิชาชีพสื่อสารมวลชน 1/2553 สื่อในวิกฤตการเมือง:สะท้อนปรากฏการณ์หรือแสวงหาทางออก โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อให้เกิดกระบวนการถ่ายทอดความรู้ ประสบการณ์ สะท้อนการทำบทบาทหน้าที่การทำงานของสื่ออย่างเป็นระบบภายใต้กรอบการทำงานเชิงวิชาการ และร่วมแลกเปลี่ยนความคิดเห็น อย่างมุ่งหวังให้เกิดผลประโยชน์อย่างแท้จริงในการประกอบวิชาชีพด้านสื่อสารมวลชน

    รายงานข่าวแจ้งต่อว่า งานนี้ได้รับเกียรติจากวิทยากรร่วมเสวนาหลายราย ประกอบด้วย นายภัทระ คำพิทักษ์ บรรณาธิการข่าวหนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์ นางสาวนฤมล ทับจุมพล คณะรัฐศาสตร์จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย นายมานะ ตรีรยาภิวัฒน์ คณะนิเทศน์ศาสตร์ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย และนางสาวอัจฉริยา อักษรอินทร์ ผู้อำนวยการสถาบันฝึกอบรมศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กและคอมพิวเตอร์แห่งชาติ หรือ เนคเทค (เคเทค อะคาเดมี่)  โดยมี นางสาวรัฏฐา โกมลวาธิน พิธีกร สถานีโทรทัศน์ทีวีไทย เป็นผู้ดำเนินรายการ 

    นายธาม เชื้อสถาปนศิริ ผู้จัดการกลุ่มงานวิชาการโครงการศึกษาและเฝ้าระวังสื่อเพื่อสุขภาวะของสังคม หรือ มีเดียมอนิแตอร์ กล่าวว่า มีเดียมอนิเตอร์ ได้ศึกษา ปรากฏการณ์ความขัดแย้ง โดยมีวัตถุประสงค์ เพื่อสำรวจตรวจสอบปรากฏการณ์ความขัดแย้งทางการเมืองในเครือข่ายสังคมออนไลน์ ที่เกิดขึ้นในช่วงเวลาของการชุมนุมระหว่างวันที่ 12 มี.ค.-30 พ.ค.2553 ด้วยวิธีการวิจัยเนื้อหา ผ่าน 4 กลุ่มช่องทางสื่อใหม่อย่าง

    1.เว็บเฟซบุ๊ค 2.ทวิตเตอร์ 3.เว็บบอร์ดพันธิป และ 4.การใช้ฟอเวิร์ดเมล์

    ผู้จัดการ ผ่ายวิชาการ มีเดียมอนิเตอร์ กล่าวต่อว่า  ผลการศึกษาพบว่า การใช้พื้นที่สื่อออนไลน์ เพื่อการสื่อสารทางการเมืองในระดับกว้างคึกคัก และเข้มข้นแต่ค่อนข้างไปในลักษณะที่สร้างความแตกแยกมากกว่าความสมานฉันท์ และการใช้สื่ออนไลน์ เพื่อการสื่อสารความขัดแย้งทางการเมืองระหว่างชนชั้นกลางและกลุ่มผู้ชุมนุม ระหว่างผู้สนับสนุนรัฐบาล และผู้ต่อต้าน แม้จะมีเหนือหาจากฝั่งกลุ่มผู้ชุมนุมคนเสื้อแดง/นปช.บ้าง แต่ก็พบว่าค่อนข้างน้อย อาจมาจากสาเหตุที่รัฐควบคุมหรือ สั่งปิดเว็บที่มีเนื้อหาหมิ่นประมาท ปลุกระดมและหมิ่นพระบรมเดชานุภาพและสะท้อนว่า ผู้คนที่ใช้สื่อออนไลน์ในเชิงสันติวิธีการหาทางออกและข้อเสนอแนะ ของวิกฤตปัญหาทางการเมืองนั้นยังอยู่ในระดับที่ไม่เข้มข้น แบ่งออกเป็น 5 ประเด็น ดังนี้

    1.กลุ่มรณรงค์ทางการเมืองผ่านเครือข่ายสังคมออนไลน์ เฟซบุ๊ค
    จากการสำรวจพบ 1307 เว็บ แบ่งเป็น 19 กลุ่มวัตถุประสงค์ มากที่สุด คือ

      1.กลุ่มต่อต้านคนเสื่อแดง

      2.กลุ่มรักในหลวง/รักสถาบัน

      3.กลุ่มรักประเทศไทย

      4.กลุ่มสนับสนุนแดง

      5.กลุ่มสนับสนุนรับบาล

      6,กลุ่มต่อต้านรัฐบาล

    ผลการศึกษาแสดงให้เห็นว่า จำนวนกลุ่มรณรงค์ที่มีวัตถุประสงค์ต่อต้านคนกลุ่มเสื้อแดงมีสัดส่วนมากสุด 32% รักในหลวง/รักสถาบัน11%รักประเทศไทย 9% สนับสนุนรัฐบาล 6%ขณะที่กลุ่มรณรงค์ทางการเมืองที่สนับสนุนคนเสื้อแดงมีเพียง9% จากสนับสนุน เสื้อแดง และ 6%จากกลุ่มต่อต้านรัฐบาล รวมกันเป็น 15% เท่านั้น
    แต่หากพิจารณาสำรวจจำนวนสมาชิก ของแต่ละกลุ่มเฟซบุ๊ค 30 อันดับแรก พบว่ากลุ่มที่มีจำนวนสมาชิกมากที่สุดคือ กลุ่มมั่นใจว่าคนไทยเกิน1 ล้านคนต่อต้านการยุบสภา(556,339 คนณวันที่ 30 พ.ค.53)

    2.ผู้ทรงอิทธิพลข่าวสารทางการเมืองข้อมูลข่าวสารผ่านไมโครเว็บทวิตเตอร์ แบ่งออกเป็น 5 กลุ่ม คือ

      1.เนื้อหาที่เน้นเผยแพร่ข่าวการเมือง

      2.กลุ่มเนื้อหาที่เน้นวิพากวิจารณ์การเมืองแต่มีเนื้อหาด้านอื่นสอดแทรก

      3.กลุ่มเนื้อหาที่เน้นข้อมุลการจราจร

      4.กลุ่มเนื้อหาที่เน้นด้านธรรมะ และ

      5.กลุ่มเนื้อหาที่เน้นพูดคุยทั่วไป อีกทั้ง ข้อมูลจากlab/thaitrend พบ 20 อันดับ ที่ถูกอ้างอิงมากที่สุดในทวิตเตอร์ เป็นนักข่าวทั้งหมด 9 คนจาก 10 คน สังกัด เครือเนชั่นมากสุดถึง 8 คน ที่เหลือเป็นบุคคลจากวงการต่างๆ เช่น ดารา นักร้อง นักเขียน เป็นต้น  

    สำหรับ 10 อันดับ ทวิตเตอร์ของบุคคลทีทมีผู้ติดตามมากที่สุด

      1.@suthichai/สุทธิชัย หยุ่น/บรรณาธิการเครือเนชั่น

      2.@noppatjak/นภพัฒน์จักษ์ อัตตนนท์/นักข่าวเนชั่นทีวี

      3.@Nattha_tvthai

      4.@Neaw_NBC/Neaw/นักข่าวเนชั่นทีวี

      5.@jin_nation/somroutai/นักข่าวเนชั่นทีวี

      6.@satien_nna/satien viriya /นักข่าวเนชั่นทีวี

      7.@can_nw/แคน สาริกา/บก.เนชั่นสุดสัปดาห์

      8.@paisalvision/ไพศาล พืชมงคล/บก.เว็บไซต์ส่วนตัว paisalvision.com

      9.@warakorn_NBC/Warakorn Pinrarod/นักข่าวเนชั่นทีวี
     10.@Cake_NBC/Phitchaphat/นักข่าวเนชั่นทีวี

    ที่มา: http://www.lab.in.th/thaitrend/mention.php วันที่ 31 พฤษภาคม 2553 เวลา 11.15 น. และ

    10 อันดับทวิตเตอร์ขององค์กรสื่อที่มีผู้ติดตามมกที่สุด ได้แก่

      1.@js100radio/ศูนย์วิทยุ จส.100

      2.@ktnews/กรุงเทพธุรกิจ

      3.@ThaiPBS/TVThai

      4.@nnanews/nation news agency

      5.@BBTVChannel7

      6.@PostToday/โพสต์ทูเดย์

      7.@Thairath_News/ไทยรัฐ

      8.@MatichonOnline/มติชน

      9.@voice_tv/ VoiceTV InternetTV

     10.@Thaipost/ไทยโพสต์

        ที่มา:  http://www.lab.in.th/thaitrend/mention.php วันที่ 31 พฤษภาคม 2553 เวลา 11.40 น.
    3.กระบวนการทางการเมืองผ่านเว็บบอร์ดสาธารณะ พันธิปดอทคอม เนื้อหาหลักของเว็บบอร์ดห้องราชดำเนิน แบ่งเป็น 5 กลุ่ม ดังนี้

       1.โจมตีวิพากษ์วิจารณ์ฝั่งตรงข้าม

       2.แจ้งข่าวสารเหตุการณ์ทั่วไป

       3.สื่อสารกันภายในกลุ่ม

       4.เปิดโอกาสให้แสดงข้อมูลสืบค้น แสวงหาข้อเท็จจริงของเหตุการณ์

       5.พูดคุย เสนอแนะทางออกอย่างสันติวิธี/รณรงค์สร้างความสมานฉันท์ ลักษณะภาษา ที่พบในห้องราชดำเนินแบ่งเป็น 3 กลุ่ม ดังนี้

        1.ภาษาที่ไม่เหมาะสมประชดประชัน เสียดสีฝ่ายตรงข้าม

        2.ภาษาที่สุภาพ แสดงความเป้นกลาง ปลอดอคติ และ

        3.ภาษาพูดทั่วไป 

    4.ฟอร์เวิร์ดเมล์ทางการเมือง จากการสำรวจจากการสุ่มศึกษา พบ 46 ฟอร์เวิร์ดที่มีการส่งกันระหว่างเหตุการณ์ชุมนุม โดยแบ่งออกเป็น 6 กลุ่ม เนื้อหามากที่สุด คือ

       1.กลุ่มวาทกรรมความรู้ ความจริงการชุมนุม /ความขัดแย้งทางการเมืองพบ 13 อีเมลล์

       2. กลุ่มวาทกรรมรักชื่นชมในหลวงและบุคคลอื่น พบ 9 อีเมล์

       3. มี 2 กลุ่ม คือ  1.กลุ่มวาทกรรมตลกล้อเลียน-และกลุ่มวาทกรรม ประณาม ประจาน เท่ากัน พบกลุ่มละ 8 อีเมล์

       4.มี 2 กลุ่ม คือ กลุ่มวาทกรรมล้มเจ้า และวาทกรรมโน้มน้าวรณรงค์ทางการเมือง เท่ากัน พบกลุ่มละ 4 อีเมลล์ 

    5.การสื่อสารทางการเมืองในเครือข่ายสังคมออนไลน์ แตกแยก/สมานฉันท์ แบ่งการสื่อสามรออกเป็น 2 แบบ คือ

      1.กลวิธีการสื่อสารเพื่อสร้างความแตกแยกทางการเมือง พบ 5 กลวิธี ดังนี้

        1.การแบ่งแยก

        2.การโต้แย้งโต้เถียงที่ดุเดือด

        3.การตรวจสอบ สอดแนมพฤติกรรม เฝ้าระวัง พฤติกรรม เฝ้าระวังพฤติกรรม /ทัศนคติบุคคล- กลุ่มบุคคลที่อันตราย

        4.การกล่าวหา ประณาม แฉ และชักชวนให้กีกกันทางสังคม

        5.การสร้างความเกลียดชัง และการปฏิเสธ การอยู่ร่วมกัน และ

      2.กลวิธีการสื่อสารเพื่อสร้างความสมานฉันท์ทางการเมือง พบ 5 กลวิธี ดังนี้

       1.การรวมกลุ่ม

       2.การแสดงความคิดเห็นในเชิงสร้างสรรค์

       3.การตรวจสอบเฝ้าระวัง การรายงานข่าวของสื่อ

       4.กลุ่มสื่อสารตรวจสอบขุดคุ้ยนำเสนอข้อมูลความจริงและความรู้ที่ปราศจากอคติ

       5.การสื่อสารวาทกรรมสันติภาพ การให้อภัย ความรักความสามัคคี  

    นายธาม กล่าวด้วยว่า  การศึกษาครั้งนี้ มีข้อเสนอแนะดังนี้ 

    1.ความน่าเชื่อถือของข้อมูล

    2.ความรวดเร็วของข้อมูล

    3.การหมิ่นประมาทและการละเมิดสิทธิส่วนบุคคล

    4.การแสดงความคิดเห็นบนพื้นที่สาธารณะ

    5.การรับส่ง สร้าง เผยแพร่ข้อความ

    6.อคติ ความเกลียดชัง ความรุนแรง

    7.บทบาทสื่อใหม่ในการเสริมสร้างคุณภาพของความรู้ ความคิดเห็นเสรีที่หลากหลาย และการส่งเสริมการสร้างความสมานฉันท์ ปรองดอง

    วาทกรรมล้มเจ้า และวาทกรรมโน้มน้าวรณรงค์ทางการเมือง เท่ากัน พบกลุ่มละ 4 อีเมลล์ 

    5.การสื่อสารทางการเมืองในเครือข่ายสังคมออนไลน์ แตกแยก/สมานฉันท์ แบ่งการสื่อสามรออกเป็น 2 แบบ คือ
     1.กลวิธีการสื่อสารเพื่อสร้างความแตกแยกทางการเมือง พบ 5 กลวิธี ดังนี้
       1.การแบ่งแยก
       2.การโต้แย้งโต้เถียงที่ดุเดือด
       3.การตรวจสอบ สอดแนมพฤติกรรม เฝ้าระวัง พฤติกรรม เฝ้าระวังพฤติกรรม /ทัศนคติบุคคล- กลุ่มบุคคลที่อันตราย
       4.การกล่าวหา ประณาม แฉ และชักชวนให้กีกกันทางสังคม
       5.การสร้างความเกลียดชัง และการปฏิเสธ การอยู่ร่วมกัน และ
    2.กลวิธีการสื่อสารเพื่อสร้างความสมานฉันท์ทางการเมือง พบ 5 กลวิธี ดังนี้
       1.การรวมกลุ่ม
       2.การแสดงความคิดเห็นในเชิงสร้างสรรค์
       3.การตรวจสอบเฝ้าระวัง การรายงานข่าวของสื่อ
       4.กลุ่มสื่อสารตรวจสอบขุดคุ้ยนำเสนอข้อมูลความจริงและความรู้ที่ปราศจากอคติ
       5.การสื่อสารวาทกรรมสันติภาพ การให้อภัย ความรักความสามัคคี  

    นายธาม กล่าวด้วยว่า  การศึกษาครั้งนี้ มีข้อเสนอแนะดังนี้ 
    1.ความน่าเชื่อถือของข้อมูล
    2.ความรวดเร็วของข้อมูล
    3.การหมิ่นประมาทและการละเมิดสิทธิส่วนบุคคล
    4.การแสดงความคิดเห็นบนพื้นที่สาธารณะ
    5.การรับส่ง สร้าง เผยแพร่ข้อความ
    6.อคติ ความเกลียดชัง ความรุนแรง
    7.บทบาทสื่อใหม่ในการเสริมสร้างคุณภาพของความรู้ ความคิดเห็นเสรีที่หลากหลาย และการส่งเสริมการสร้างความสมานฉันท์ ปรองดอง
    http://www.thairath.co.th/content/tech/87154

    ไม่มีความคิดเห็น:

    แสดงความคิดเห็น