MusicPlaylistView Profile
Create a playlist at MixPod.com
ร่วมลงนาม ยกเลิกกฎหมาย 3 ฉบับ มั่นคงภายใน - กฎอัยการศึก - พ.ร.ก.ฉุกเฉิน
อินเทอร์เน็ตเพื่อกฎหมายประชาชน
Bookmark and Share

วันศุกร์ที่ 4 มิถุนายน พ.ศ. 2553

ผลวิจัยแฉ 1,300 เว็บเฟซบุ๊คเกี่ยวการเมืองเชียร์รบ.มากกว่าแดง เชื่อสื่อออนไลน์ทำแตกแยกมากกว่าสมานฉันท์



วันที่ 03 มิถุนายน พ.ศ. 2553 เวลา 19:35:43 น.  มติชนออนไลน์

ผลวิจัยแฉ 1,300 เว็บเฟซบุ๊คเกี่ยวการเมืองเชียร์รบ.มากกว่าแดง เชื่อสื่อออนไลน์ทำแตกแยกมากกว่าสมานฉันท์

วันที่ 3 มิ.ย. ที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์ สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย สมาคมนักข่าววิทยุและโทรทัศน์ไทย สถาบันอิศรา มูลนิธิพัฒนาสื่อมวลชนแห่งประเทศไทย คณะวารสารศาสตร์และสื่อสารมวลชน มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ร่วมกับโครงการศึกษาและเฝ้าระวังสื่อเพื่อสุขภาวะของสังคม (มีเดีย มอนิเตอร์) ร่วมจัดประชุมเครือข่ายนักวิชาการและนักชาชีพสื่อมวลชน ครั้งที่ 1/ 2553 วาระ"สื่อในวิกฤตการเมือง สะท้อนปรากฏการณ์ หรือแสวงหาทางออก" โดยมีนักหนังสือพิมพ์ นักวิชาการเข้าร่วม อาทิ นายภัทระ คำพิทักษ์ บรรณาธิการข่าว หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์, ดร.นฤมล ทับจุมพล อาจารย์ประจำคณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, ดร.มานะ ตรีรยาภิวัฒน์ อาจารย์ประจำคณะนิเทศศาสตร์ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย, ดร.อัจฉริยา อักษรอินทร์ ผู้อำนวยการสถาบันฝึกอบรมเนคเทค
  

ก่อนที่จะมีการเสวนา นายธาม เชื้อสถาปนาศิริ จากมีเดีย มอนิเตอร์ ได้เสนอผลการศึกษา เรื่อง ปรากฏการณ์ความขัดแย้งทางการเมืองในเครือข่ายสังคมออนไลน์ ซึ่งได้ศึกษาตั้งแต่วันที่ 12 มี.ค. – 30 มี.ค. ในการสื่อสาร 4 ช่องทาง คือ เว็บเฟซบุ๊ค, ทวิตเตอร์ เว็บบอร์ดพันทิป และ การใช้ฟอร์เวิร์ดเมล์


1,300 เว็บเฟซบุ๊คเกี่ยวการเมือง หนุนรบ.มากกว่าแดง


ผลการศึกษาพบว่ามีการใช้พื้นที่ออนไลน์เพื่อการสื่อสารทางการเมืองในระดับกว้าง คึกคัก และเข้มข้น แต่ค่อนข้างไปในลักษณะที่สร้างความแตกแยกมากกว่าการสร้างความสมานฉันท์ คือ
1.ในเว็บเฟซบุ๊ค พบว่ามี 1,300 เว็บไซต์ แบ่งออกเป็น 19 กลุ่ม มีวัตถุประสงค์ทั้งการสนับสนุน การต่อต้านรัฐบาล-คนเสื้อแดง กลุ่มสันติวิธี กลุ่มคนที่ได้รับผลกระทบ หรือกลุ่มล้อเลียนทางการเมือง ซึ่งในจำนวน 1,300 เว็บไซต์ นั้น พบว่ามีเว็บที่ต่อต้านการชุมนุม, สนับสนุนรัฐบาลไม่ให้ยุบสภาอยู่ในระดับที่สูงกว่าการสนับสนุนเสื้อแดง


สำหรับเนื้อหา ร้อยละ 90 พบว่า เป็นกลุ่มที่ตั้งขึ้นเพื่อแสดงความเห็นทางการเมืองต่อการชุมนุม ทั้งการต่อต้านการกระทำ และไม่สนับสนุนกลุ่มคนเสื้อแดง ทั้งนี้มีบางส่วนที่ใช้พื้นที่ดังกล่าวเป็นพื้นที่สอดแนม เฝ้าระวัง นอกจากนั้นยังใช้พื้นที่เพื่อแจ้งข่าวสารไปยังสมาชิก เพื่อรู้ เพื่อประจาน ประณามและขอให้ช่วยกันลงโทษทางสังคมออนไลน์ ซึ่งมีการนำข้อมูลส่วนตัวของบุคคลดังกล่าวไปเผยแพร่ต่อในอีเมล์, เว็บบอร์ด เพื่อให้รับรู้ในที่สาธารณะ ซึ่งมีกรณีที่นำไปสู่การจับกุม ไล่ออกจากสถานที่ทำงาน


2. ทวิตเตอร์ พบว่ามีความโดดเด่นในการใช้งานเพื่อติดตามข้อมูลข่าวสารอย่างเกาะติด ต่อเนื่อง โดยมีนักข่าว ผู้สื่อข่าวเป็นผู้ที่ทรงอิทธิพลในข่าวสารมากกว่ากลุ่มอื่นๆ  สื่อกระแสหลักได้นำพื้นที่ทวิตเตอร์เป็นช่องทางเลือกในการสื่อสาร


ชี้กระทู้ในห้องราชดำเนินส่วนมากไม่สร้างสรรค์
 

3. เว็บบอร์ดสาธารณะในเว็บไซต์พันทิป ห้องราชดำเนิน ในช่วงที่มีการชุมนุมทางการเมือง พบว่ามีการตั้งกระทู้มากกว่า 7,000 กระทู้  คนที่ตั้งกระทู้รวมถึงแสดงความเห็น พบว่าเป็นผู้ที่สนับสนุนรัฐบาล, สนับสนุนคนเสื้อแดง อย่างชัดเจน และใช้พื้นที่แสดงความคิดการเมือง, ตรวจสอบข้อเท็จจริงตามความขัดแย้งทางการเมืองหลายๆ กรณี ทั้งนี้ได้เชื่อมโยงข้อมูล, ระดมข้อมูลข่าวจากพลเมืองเน็ตจำนวนมาก  ส่วนใหญ่เป็นกระทู้ที่ไม่สร้างสรรค์ สำหรับการแสดงความเห็นในพื้นที่ดังกล่าว มีทั้งช่วยเสริมสร้างความสมานฉันท์ ความเข้าใจ และบางพื้นกลายเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์ฝ่ายตรงข้ามทางการเมืองอย่างดุดัน แบ่งฝ่าย และสะท้อนความเกลียดชัง ผ่านภาษาเชิงเหยียดหยาม ประณาม
 

4. การใช้ฟอร์เวิร์ดเมล์ทางการเมือง ช่วงที่มีการศึกษา ฟอร์เวิร์ดเมล์ แบ่งออกเป็นหลายๆ กลุ่ม คือ ทั้งเผยแพร่ข้อมูลข้อเท็จจริง, กลุ่มรัก และชื่นชมสถาบัน, กลุ่มตลก ล้อเลียนทางการเมือง เป็นการสื่อสารให้ข้อมูลทางการเมืองในลักษณะชี้แจง แฉ และวิพากษ์วิจารณ์ ทั้งเบื้องลึกเบื้องหลังเหตุการณ์การชุมนุมทางการเมือง ของคนเสื้อแดง, พฤติกรรมของพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ในพฤติกรรมตีตนเสมอเจ้า หรือการกระทำที่คิดล้มล้างสถาบัน, คดีคอรัปชั่นในอดีต รวมถึงเบื้องหลังความรุนแรงของการชุมนุมคนเสื้อแดง, กลุ่มบุคคล,องค์กร, สื่อเว็บไซต์ ที่เผยแพร่ความคิดล้มล้างสถาบัน


สรุปสื่อออนไลน์ทำแตกแยกมากกว่าสมานฉันท์


“การสื่อสารออนไลน์ จากการศึกษาพบว่าเป็นการสร้างความแตกแยกทางการเมือง มากกว่าการสร้างความสมานฉันท์ เห็นได้จาก
1. ก่อนการเข้าร่วมกับกลุ่มต่างๆ คุณต้องเลือกข้างทันที ว่า ไม่เอาเสื้อแดง สนับสนุนเสื้อแดง เป็นต้น
2. ในการแสดงความเห็นเป็นในลักษณะการโต้แย้ง โต้เถียงอย่างดุเดือด
3.มีพฤติกรรมการสอดแนม เฝ้าระวังฝ่ายตรงกันข้าม
4.มีการประณาม แฉ และชักชวนให้กีดกันทางสังคม และ
5.สร้างความเกลียดชัง และปฏิเสธการอยู่ร่วมกัน”

นอกจากนี้ มีเดีย มอนิเตอร์ ได้เสนอแนะว่า สำหรับผู้ที่เข้าไปเป็นเครือข่ายสังคมออนไลน์ รวมถึงสื่อมวลชน ต้องคำนึงถึง 
1. ความน่าเชื่อถือของข้อมูล ที่อาจจะมีการนำข้อคิดเห็นผสมกับข้อเท็จจริง
2. ความรวดเร็วของข้อมูล ซึ่งข้อมูลที่โพสต์นั้นมีอาจจะยังไม่มีการตรวจสอบ
3.ข้อความที่เผยแพร่อาจจะเป็นข้อความที่ไปละเมิดส่วนบุคคล หรือหมิ่นประมาทบุคคลอื่น
4.การแสดงความคิดเห็นบนพื้นที่สาธารณะ ที่อาจะนำเสนอทัศนคติที่เกลียดชัง สร้างความแบ่งแยก เกลียดชัง
5.การรับ ส่ง สร้าง เผยแพร่ข้อความต่อ ต้องใช้วิจารณญาณในการรับรู้ ส่วนการส่งต่อต้องไม่ส่งต่อข้อความมีที่ไม่เหมาะสม 
6.ต้องตระหนักว่าสื่อออนไลน์ เต็มไปด้วยข้อมูลที่หลากหลาย ไร้การควบคุม ดังนั้นข้อความอาจจะเป็นการปลุกเร้าอคติ การเกลียดชัง การความรุนแรง และ
7.เจ้าของสื่อ รวมถึงผู้ที่โพสต์ข้อความต้องตระหนึกในบทบาทของสื่อ ด้านการสร้างเสริมคุณภาพของความรู้ ความคิดเห็นเสรีที่หลากหลาย และการส่งเสริมการสร้างความสมานฉันท์ปรองดอง


เปลี่ยนระดับจากทะเลาะบนถนนสู่หน้าสื่อ


จากนั้น ดร.ณัฏฐา โกมลวาทิน พิธีกรสถานีโทรทัศน์ทีวีไทย ซึ่งเป็นผู้ดำเนินรายการได้เชิญวิทยากร ขึ้นเวทีเพื่อเสวนา ตามหัวข้อ สื่อในวิกฤตการเมือง: สะท้อนปรากฎการณ์หรือแสวงหาทางออก”


นายภัทระ  คำพิทักษ์ บรรณาธิการข่าว หนังสือพิมพ์โพสต์ ทูเดย์ เริ่มต้นเสวนาว่า ขณะนี้เรากำลังอยู่ในสถานการณ์ของบ้านเมืองที่มีความยากลำบาก เพราะหลังจากที่ทะเลาะกันบนถนนแล้ว ก็มาทะเลาะกันบนหน้าหนังสือพิมพ์ ทีวี หน้าปัดวิทยุ และคอมพิวเตอร์ ผมอยากเริ่มว่างานนี้เปรียบเสมือนการส่องกระจกให้เห็นภาพของตัวเอง เพื่อแก้ไขปัญหา


บก.ข่าวชี้เหตุโครงสร้างสื่อใหม่ข้อมูลหลั่งไหล


ผมมองว่าปฐมเหตุที่ทำให้เกิดภาพอย่างปัจจุบัน คือ โครงสร้างของสื่อใหม่ ทำให้เกิดการหลั่งไหลของทัศนคติและข้อมูล และทำให้เกิดผลกระทบหลายด้าน เช่น
1.ทำให้ทุกคนกลายเป็นสื่อ โดยลืมนึกไปว่าการที่จะเป็นสื่อมวลชนได้นั้น ต้องประกอบด้วย 2 ขา คือ ขาเสรีภาพ และขาของความรับผิดชอบ ซึ่งทั้ง 2 ขาต้องก้าว แต่ในสื่อออนไลน์ มีแต่ขาเสรีภาพเป็นตัวนำ เพราะด้วยความไว รัฐไม่สามารถจำกัดได้ ไม่มีกฎหมายใดมาควบคุม จึงไม่แปลกที่เว็บไซต์ประชาไท เป็นผู้ที่ถูกกระทำ แม้จะมีการเรียกร้องเรื่องของเสรีภาพ แต่ในวงการนักวิชาการกลับมองว่าไม่มีน้ำหนัก
2. เรื่องความรู้ความสามารถ สื่อใหม่ถือว่ายังไม่สามารถเข้าถึงแหล่งข่าวได้มากนั้น ดังนั้นการนำเสนอข้อมูลจึงเป็นลักษณะที่เรียกว่าปนกันระหว่างความรู้และความเห็น
3.เรื่องกรอบความคิดไม่ชัดเจน  อยากเขียนอะไรก็เขียน โดยไม่รับผิดชอบ ซึ่งต่างจากอดีต เพราะว่าที่นักข่าวจะเขียนหนังสือได้ ต้องอาศัยประสบการณ์ และระยะเวลาในการสั่งสม ดังนั้นการสร้างบุคลากรในสื่อใหม่จึงแตกต่างจากสื่อยุคเก่า


“ระยะที่ผ่านมาสื่อมวลชนไม่สามารถรองรับความเปลี่ยนแปลงได้ ทำให้การจัดการสื่อมีปัญหา การขยายตัวไม่ทันตามโครงสร้างสังคมทำให้เป็นปัญหา ผมเคยตั้งคำถามไว้ว่า ในศูนย์ราชการ ที่แจ้งวัฒนะ มีนักข่าวประจำอยู่กี่คน เพราะในศูนย์ราชการนั้นเป็นที่ตั้งของหลายหน่วยงาน หรือขณะที่ประเทศไทยเปิดพรมแดนเชื่อมโยงกับเพื่อนบ้าน  อย่างประเทศลาว โครงสร้างนักข่าวเราเปลี่ยนไปตามนั้นหรือไม่ หากการปรับปรุงโครงสร้างของราชการสื่อยังตามไม่ทัน อาจทำให้เกิดปัญหาได้ หรือการนิยามความเป็นสื่อ ผมว่ายังมีความสับสน เช่น ตอนที่คุณสนธิ ลิ้มทองกุล ถูกยิง สมาคมนักข่าวฯ ก็เอากระเช้าไปเยี่ยมเพราะมองว่าสื่อถูกคุกคาม จนเกิดเป็นกระแสวิพากษ์วิจารณ์ว่า ทำถูกต้องหรือไม่ และเพราะคุณสนธิ ได้ออกไปมีบทบาททางการเมืองแล้ว”


เชื่อสื่อคุมกันเองสำคัญที่สุด ไม่ไว้ใจรัฐควบคุม


ภัทระ กล่าวอีกว่า สำหรับความน่าเชื่อถือรวมถึงการควบคุมกันเอง ผมว่าเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด เพราะหากเราเชื่อว่าว่าการควบคุมโดยรัฐ โดยกฎหมาย เป็นสิ่งที่ไม่น่าไว้ใจ แต่สภาพเป็นจริงของสังคมที่เปลี่ยนไป สภาการหนังสือพิมพ์ฯ ก็ไม่สามารถคุมได้ทุกสื่อ ทำให้กลายเป็นช่องว่างที่สื่อที่อยู่นอกการควบคุมใช้เสรีไปการละเมิดสิทธิของบุคคลอื่น  ส่วนการจัดการของสำนึกคนเป็นสื่อมวลชน ฐานะที่เป็นปัจเจกชน ในบางครั้งนักข่าวก็ตกเป็นข่าวซะเอง ซึ่งผมมองว่าเป็นสิ่งที่โหดร้าย เดชะบุญ ที่นักข่าวมีจิตสำนึกที่รอบคอบ จึงไม่เกิดอันตราย แต่หากเป็นผู้ที่ไม่มีวุฒิภาวะ อาจจะได้รับอันตรายได้มาก


“ความเป็นสื่อจะน้อยลง หากไม่บูรณการ การเชื่อมโยงความคิด ไม่นำข้อมูลมาประกอบ  เช่น ในเหตุการณ์เมื่อเดือนพฤษภาคม การรายงานข่าวโดยส่งนักข่าวลงในพื้นที่ นักข่าวก็รายงานว่ามีคนตาย ใครยิงใคร ผมจึงตั้งคำถามกับทีมว่า ผมไม่ต้องการข่าวแบบนี้ หากให้นักข่าวลงสนามแล้วไปชะโงกดูว่าใครยิงใคร ผมไม่ต้องการ แต่สิ่งที่ต้องการคือ เขามารวมกลุ่มตรงนี้ได้อย่างไร มาด้วยองค์ประกอบใด หรือใครมาจัดตั้ง เช่น ที่เวทีที่คลองเตย เห็นนักการเมืองพื้นที่เข้ามา เห็นการเชื่อมโยงของผู้ที่มีอิทธิพลในพื้นที่ ซึ่งหากมีการเชื่อมโยงก็จะเข้าใจ ส่วนคนที่มาชุมนุม เขาบอกว่าเขามาเรียกร้องเรื่องความทุกข์ยาก แต่เสธฯแดง บอกไว้ว่า ในจำนวนผู้ชุมนุมมีผีขนุนอยู่ 3,000 คน นั่นเป็นผู้เดือดร้อนจริงๆ สำหรับองค์กรชาวบ้านที่มาชุมนุมแล้วถอนตัวไป เป็นเพราะอะไร ต้องเข้าใจ  หากเราไม่เห็น หรือไม่เข้าใจก็จะพูดกุมๆ ว่า เดี๋ยวก็ต้องมีการฆ่ากันอีกรอบ คำถามที่มีคือจะลุกมาฆ่ากันเพื่ออะไร ต่อสู้เพื่ออะไร เพื่อเรียกร้องให้ยุบสภา ให้คุณอภิสิทธิ์ลาออก ให้คุณทักษิณกลับมา หรือแก้ไขปัญหาสองมาตรฐาน หรือแก้ไขปัญหาความยากจน การเข้าไปพื้นที่ เพื่อให้รู้ว่าเป็นใครมาจากไหน เป็นทหารมาจากพลไหน ใครบังคับบัญชา มีหน่วยแม่นปืนไหม รู้แล้วก็สามารถตรวจสอบได้ รู้ว่าใครต้องรับผิดชอบ”


แนะนักข่าวต้องเข้าถึงแหล่งข่าวให้มากที่สุด


บก.โพสต์ทูเดย์ กล่าวอีกว่า ผมว่าการเข้าถึงแหล่งข่าวจำเป็นมาก ช่วงเดือนพฤษภาคม มีสื่อมวลชนเท่าไรที่เข้าถึงเสื้อแดง นักข่าวที่เฝ้าแกนนำเสื้อแดง มีกี่คนที่ได้คุยกับแกนนำและเข้าใจเขาจริงๆ ผมว่าน้อยมาก ซึ่งโพสต์ทูเดย์ เราพยายามสัมภาษณ์ให้พื้นที่เขา แล้วจะพบว่าคนอย่างอริสมันต์ ที่ถูกมองว่าเป็นแกนนำกลุ่มฮาร์ดคอร์ ก็เป็นแฟมิลี่แมน เพราะก่อนเริ่มต้นสนทนา เขาเปิดรูปลูกสาวให้ดู ดังนั้นต้องเข้าไปคุยคุยเพื่อให้รู้ว่าในสมอง และหัวใจว่าเขาคิดอะไร แกนนำ และมวลชนคนเสื้อแดงคิดอย่างไร ต้องมองอย่างละเอียด อย่างที่ผ่านมาผมว่านักข่าวภาคสนามเขาไม่มีคำถามที่ว่าคุณวีระ หายไปไหน แต่มันเป็นคำถามที่เกิดจากนักข่าวภายนอก ส่วนภาวะอึมครึมที่เกิดขึ้นในสถานการณ์ ไม่ว่าใครก็ตัดสินใจไม่ได้ เพราะไม่รู้ว่ารัฐบาลตัดสินใจอย่างไร เพราะนักข่าวไม่มีใครไปถามนักการเมือง เพราะนักการเมืองเก็บตัว หรือจะถามใครไม่มีใครบอก พอนักการเมืองออกมาพูดที ก็ไม่มีคนเชื่อ  การเข้าถึงแหล่งข่าวทั้งฝ่ายเสื้อแดง และรัฐบาล มันเป็นเรื่องที่ยาก แต่ โดยพื้นฐานโดยวิชาชีพ ต้องเข้าหาแหล่งข่าวมากที่สุด แม้ว่าจะยาก


หนุนปฏิรูปสื่อครบวงจรหลังถามฉันทามติสังคม


สำหรับบทบาทของสื่อ “ภัทระ” บอกเอาไว้ว่า หากบทบาทของสื่อไม่ชัดเจน ผมว่าสุ่มเสี่ยง ที่จะตกเป็นเครื่องมือของความขัดแย้งและเข้าไปอยู่ในวงความขัดแย้ง ภาพที่พูดเป็นภาพย่อยในเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในสังคม ยกตัวอย่าง วันที่มีเหตุเพลิงไหม้ เจ้าหน้าที่ดับเพลิงของกทม. ไม่กล้าเข้าไปดับไฟ เพราะกลัวถูกยิง ผมมองว่าหากเจ้าหน้าที่ไม่เข้า หรือไม่ทำหน้าที่ ประเทศนี้ก็แย่ไปหมด และหากต่างคนต่างทำหน้าที่ โดยไม่ไปชี้หน้าว่าคนนี้เป็นแม่มดแล้วออกตามล่า แต่ต้องเป็นการทำหน้าที่เต็มที่ให้เต็มที่ ด้วยความรับผิดชอบ


“ผมเห็นด้วยที่สมาคมสื่อฯ ต้องเป็นผู้นำในการปฏิรูปสื่ออย่างครบวงจร แต่ต้องทำด้วยฉันทามติของสังคม ว่าจะเอาอย่างไรก็คนที่เป็นสื่อ ที่เป็นส่วนหนึ่งของความรุนแรง ปัจจุบันผมว่ามีคนที่เอาตัวรอดไปได้เป็นหย่อมๆ เราเห็นประชาชนที่เอาตัวรอดในสังคมได้ โดยละการพึ่งพาบุคคลอื่น ในวงการสื่อก็เช่นกัน ความเป็นองค์กรหมดความหมายไปมาก เพราะมันแต่วิ่งเข้าหาสื่อใหม่ แต่ผมว่าผมต้องการกัลยาณมิตร แทนที่จะหาเพื่อนใหม่  เพราะคนที่ได้ชื่อว่าเป็นกัลยาณมิตรและเชื่อมต่อกัน ถือว่าเป็นเรือโนอาร์ได้เลย หากคนเหล่านี้ที่ขับเคลื่อนด้วยวิชาชีพ ด้วยธรรมมะ จะเป็นพลัง ที่คล้ายๆ กับการช่วยประกอบเรือโนอาร์ ขึ้น และพากันไปให้รอด เพื่อสร้างเผ่าพันธุ์ใหม่” ภัทระ สรุปในตอนท้าย 


นักวิชาการชี้คนชนบทรับสื่อการเมืองมากขึ้น


ดร.นฤมล ทับจุมพล อาจารย์ประจำคณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย  กล่าวว่าฐานะผู้ทำวิจัยเรื่องของการสื่อสารการเมืองในบริบทการเปลี่ยนแปลงในชนบท พบว่าในการชุมนุมทางการเมืองที่ผ่านมา ทำให้ล้มทฤษฎีคนชนบทตั้งรัฐบาล คนเมืองล้มรัฐบาลได้ เนื่องจากว่าคนชนบท ในฐานะคนที่อาศัยฐานการจ้างงานในชนบท เขาคาดหวังว่ารัฐ ต้องตอบสนองเขาให้ได้มากกว่านี้ ส่วนในเรื่องของการเมืองแนวคิดที่ว่าหากการเมืองในระบบปกติทำไม่ได้ ก็ใช้การเมืองบนถนนมีมากขึ้น ซึ่งได้รับอิทธิพลมาจากการเปิดรับสื่อ และในปัจจุบันคนชนบทเลือกรับสื่อทางการเมืองที่ชัดเจนขึ้น เห็นได้จากการติดจานดาวเทียมที่เป็นสื่อการเมือง เช่น ดาวเทียมพีทีวี ดาวเทียมเอเอสทีวี ทำให้สื่อกระแสหลักที่กลางๆ มองว่าทำไมคนเลือกอ่านน้อย แต่เป็นเพราะว่าเขาเชียร์ข้างไหน เขาก็จะเลือกอ่านสื่อตามกระแสนั้นๆ  ซึ่งไม่ใช่เรื่องของการสร้างความแตกแยก แต่เป็นการสร้างลักษณะ ทั้งนี้สื่อกระแสหลักต้องตั้งคำถามกับตัวเองแล้วว่า ทำไมไม่เป็นฝ่ายที่ถูกเลือก หรือพูดถึงน้อยลง ส่วนหนึ่งเป็นเพราะว่าไม่ค่อยแยกข้อมูลออกจากความเห็น ดังนั้นเมื่อสื่อที่เขาติดตามถูกปิดกั้น ก็จะเกิดเป็นความรู้สึกว่าทำไมต้องปิดกั้นสิ่งที่เขาเลือก


จวกเสนอข่าวลดค่า"ความเป็นคน"ของคู่กรณี


“ทุกวันนี้เราจึงเห็นภาพของการปิดสื่อมากกว่าการนำกฎหมายหมิ่นประมาทมาใช้  และที่สำคัญ การนำเสนอข่าวบางครั้งทำให้รู้สึกว่าคู่กรณีมีความเป็นมนุษย์น้อยลงกว่าคุณ สะท้อนภาพได้จากช่วงการชุมนุมทางการเมือง เมื่อคนเราคิดว่าคู่ตรงข้ามมีความเป็นคนน้อยกว่าเลยไม่สนใจว่าจะใช้วิธีการอารยชนกับคนๆ นั้นหรือไม่ ซึ่งความคิดดังกล่าวส่งผลกระทบอย่างมากกับบุคคล ดังนั้นสื่อต้องมีบรรทัดฐานที่ไม่เอาสิ่งที่เห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วยไปกระทบกับการศึกษาของบุคคลที่ไม่อยู่ข้างเดียวกัน”


แนะทางออกสื่อต้องติดตามข่าวหลากด้าน


ดร.นฤมล กล่าวอีกว่า ทางออกของสื่อปัจจุบันคือ ต้องมีการติดตามข่าวให้หลากหลายด้าน  เช่น คนเสื้อแดงที่กลับบ้านไปแล้วเขาเป็นอย่างไร เพราะหากสื่อคิดจะสร้างความปรองดองสมานฉันท์ให้เกิดขึ้นแล้ว ต้องทำให้คนรายย่อยๆ นั้นรู้ว่าเสียงของเขาได้รับการฟัง ส่วนหลักการทำงานของสื่อในภาวะวิกฤตทางการเมือง ที่ผ่านมาสะท้อนให้เห็นแล้วว่า สื่อกำลังเมาหมัด คือสะท้อนปรากฎการณ์มากกว่าการแสวงหาทางออก มีแต่การนำเสนอปรากฎการณ์ สัมภาษณ์ได้ข้อมูลมาแล้วแต่ไม่รู้จะเลือกอย่างไร เพราะข้อมูลดูเหมือนจริงทุกเรื่อง ดังนั้นการกลั่นกรองเป็นสิ่งจำเป็น และหากต้องนำพื้นที่สาธารณะมาใช้ ต้องมีหลักการ คือ ต้องเป็นข้อมูลข้อเท็จจริง ไม่ใช้มาจากความเห็น, ค่านิยมพื้นฐานทั่วไป และต้องนำไปสู่การสร้างสิ่งที่เรียกว่าฉันทามติ คือทำให้คนอยู่ร่วมกันได้ แม้จะมีความแตกต่าง เพราะสังคมประชาธิปไตย สอนไว้ว่าให้ต้องยอมรับคนแตกต่างให้มีพื้นที่ที่ยืนอยู่ได้ ซึ่งสื่อเป็นตัวสำคัญอย่างมาก


หวั่นความรุนแรงเข้าสู่วัฒนธรรม จี้สร้างสันติวิธี


“ส่วนนักวิชาการ เป็นสิ่งที่ต้องกลับมามองและย้อนทบทวนแก้ไขตัวเอง เนื่องจากที่ผ่านมาก่อนความขัดแย้งจะเริ่มขึ้น ไม่มีใครที่กล้าวิจารณ์สายเหยี่ยวในแต่ละข้าง เพราะมัวแต่คิดว่าพูดไปจะสร้างความเสียหาย  ส่วนประเด็นที่สังคมกำลังลืมคือ สังคมจะอยู่ได้ หรือ ไม่ได้ ไม่ได้ขึ้นอยู่กับบังคับ แต่อยู่ที่ความสมัครใจ ซึ่งอาจารย์เชื่อว่าปัจจุบันความรุนแรงสามารถขยายได้ด้วยตัวของมันเอง ซึ่งประเด็นพวกนี้ไม่ค่อยมีใครคิด และปล่อยให้เกิดขึ้น จะกลับมาซ่อมอีกครั้ง ก็ซ่อมยากแล้ว ในฐานะที่อาจารย์เป็นพวกสันติวิธี คงไม่มีประโยชน์ที่จะพูดว่าสันติวิธี หากไม่ได้ทำอะไร เพราะขณะนี้ความรุนแรงกลายเป็นความรุนแรงทางวัฒนธรรมไปแล้ว ซึ่งสะท้อนให้เห็นชัดเจนหลังจากที่เกิดวิกฤตทางการเมืองครั้งที่ผ่านมา” ดร.นฤมล สรุปทิ้งท้าย


อ.หอการค้าชี้สื่อเสนอภาพเหมือนแสดงละคร


ดร.มานะ ตรีรยาภิวัฒน์ อาจารย์ประจำคณะนิเทศศาสตร์ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย กล่าวว่าผมว่าสื่อที่เสนอวิกฤตการเมือง กำลังทำภาพให้เหมือนกับการแสดงละคร คือ แบ่งเป็นพระเอก นางเอก ผู้ร้าย มีการจัดแบ่งที่ชัดเจนมาก รวมถึงการนำเสนอที่เพื่อผลักภาระไปให้คนชม เพราะสื่อเลือกนำเสนอข่าวลักษณะ 2 ด้าน คือไม่ดำ ก็ขาว ไม่เหลือง ก็แดง ดังนั้นผมจึงไม่แปลกใจที่คนรุ่นใหม่ เช่น นักศึกษาที่ผมสอน แสดงอารมณ์ชัดเจน เลือกข้างอย่างแน่นอน โดยการสะท้อนในสื่อออนไลน์เช่น เฟซบุ๊ค ทวิตเตอร์ โดยไม่ได้พิจารณาระหว่างข้อมูลข้อเท็จจริง อารมณ์ และเหตุผล วัยรุ่นสมัยนี้จึงแสดงอารมณ์ตามความคิดและความเชื่อ และโดยส่วนตัว ผมไม่เชื่อความเป็นกลางของสื่อ หากสื่อเสนอข้อมูลข้อเท็จจริงก็พอยอมรับได้ แต่หากให้ข้อมูลบิดเบือนผิดพลาดกระตุ้นให้เกิดการฆ่า การเกิดสงคราม นั่นเป็นการล้ำเส้น ผมยอมรับไม่ได้


“เมื่อข่าวเป็นการการนำเสนอเชิงละคร ซึ่งสะท้อนออกมามากในเรื่องของแหล่งข่าว ที่ไม่หลากหลาย กลุ่มคนแบบเดิมๆ ไม่มีการใช้มุมมองที่เปิดกว้าง  ถ้าหากสื่อใช้ช่องทางสื่อออนไลน์ในการค้าหาข้อมูล นอกเหนือไปจากนักวิชาการหน้าเดิมๆ ผมว่าจะเป็นการนำเสนอข้อมูลที่หลากหลาย ในขณะเดียวกันพื้นที่ของสื่อออนไลน์ เป็นสิ่งที่ผมเป็นห่วง หากองค์กรวิชาชีพสื่อไม่ให้ความสำคัญ กับจริยธรรมของสื่อยุคดิจิตอล อาจจะทำให้เกิดปัญหา เพราะอย่าลืมว่าความเร็วของเทคโนโลยี ก็เป็นดาบสองคมได้ คือ สื่อสารได้เร็ว แต่หากเป็นข้อมูลที่ผิด เสนอข้อมูลในลักษณะที่เป็นความเห็นเกลียดชัง มันก็เผยแพร่ไปได้เร็วเช่นกัน “


หนุนคนใช้สื่อออนไลน์สร้างจริยธรรมคุมกันเอง


ดร.มานะ กล่าวอีกว่า ผมว่าทางออกของปัญหาการใช้สื่อออนไลน์ คือ ผู้ใช้ทั่วๆ ไป จำเป็นต้องเรียนรู้วางรากฐานกันเอง สร้างจริยธรรมของคนใช้ควบคุมด้วยกันเอง  หลังจากเกิดวิกฤต คนในสังคมออนไลน์ก็พูดคุยกันเยอะขึ้น ถือว่าเป็นนิมิตรหมายที่ดี ที่จะมีการพูดคุยกันให้มากขึ้น สื่อมวลชนน่าจะมีการสะท้อนภาพ ส่วนการปฏิรูปสื่อผมว่าต้องเกิดจากคนทุกคน พวกเราทุกคนฐานะปัจเจกชนต้องลุกขึ้นมาตรวจสอบสื่อและสื่อต้องตรวจสอบตัวเอง และในวิกฤตที่ผ่านมาผมมองว่าต้องพลิกให้เป็นโอกาสคือให้ผู้ใช้กำหนดกฎ ระเบียบ ด้วยตัวเองและสร้างสิ่งที่ดีงาน แทนที่จะให้รัฐเป็นผู้มากำหนด  


"เนคเทค"เตือนต้องทันเว็บ ถ้าไม่พร้อมอย่ายุ่ง


ดร.อัจฉริยา อักษรอินทร์ ผู้อำนวยการสถาบันฝึกอบรมเนคเทค กล่าวว่าฐานะนักเทคโลยีและนักเก็บเกี่ยวประสบการณ์ทางสังคม เห็นด้วยกับคำพูดที่ว่า  ทวิตเตอร์ เฟซบุ๊ค เป็นสื่อสารสาธารณะ มากกว่าเป็นสื่อส่วนตัว เพราะในหลายประสบการณ์ส่วนตัวพบว่าองค์กรทางสังคมสามารถใช้เอาผิดกับบุคคลได้ และทำให้เราเห็นกันได้โปร่งใสมากยิ่งขึ้น อาจารย์เคยอ่านหนังสือเล่มหนึ่งที่เชื่อในอัจฉริยภาพของคน ในเนื้อหาระบุว่าอัจฉริยภาพของคนเกิดได้ คือ ต้องมีความหลากหลายของคนที่มีส่วนได้ส่วนเสีย, ความคิดเห็นของคนทุกคนต้องเป็นอิสระไม่ถูกโน้มน้าวไปทางใดทางหนึ่ง ขณะที่ปิดกั้นในอีกหลายๆ ทาง, ต้องกระจายอำนาจจากส่วนกลาง ไม่มีกลุ่มคนที่จะจูงความคิดเห็นของคนไปในทางเดียวกัน ไม่รวมศูนย์อำนาจ และ การตกผลึกทางความคิดแบบฉันทามติ  ส่วนการลดอัจฉริยภาพในตัวเองก็เช่นกัน ซึ่งจะเป็นสิ่งที่ตรงข้ามกับการสร้างอัจฉริยภาพ คือ  หากไม่มีความหลากหลายทางสังคม ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียก็จะลดลง ก็จะกลายเป็นคนสีเดียวกัน เช่นคนที่มาชุมนุมก็จะไม่มีความหลากหลาย ไม่มีความยุติธรรมเกิดขึ้นในกลุ่มคนดังกล่าว , ถ้าคนกลุ่มเล็กๆ รวมศูนย์อำนาจทางความคิด คนกลุ่มอื่นไม่มีโอกาสได้รับการแตกยอดทางความคิด อัจฉริยภาพทางความคิดก็จะหายไป, มีการแบ่งแยกความคิด ทำให้ได้ภาพไม่เหมือนกัน การแบ่งแยกความคิดแบ่งเป็นห้วงๆ , การเลียนแบบ การว่าตามกัน, ชี้นำความคิดด้วยอารมณ์ ความรู้สึก หยิบจุดอ่อนของอารมณ์คนนำมาพูด


“ในการชุมนุมใดก็ตามแค่ 2 ใน 5 การนำพาฝูงชนไม่เกิดอัจฉริยภาพ เป็นการว่าตามกัน หรือเฮไหนเฮนั่น  สำหรับสื่อออนไลน์ถ้าไม่ลองจะไม่รู้ ไม่คลุกก็ไม่รู้รสชาติ ซึ่งคนที่เข้าไปต้องมีธรรมะ อย่างตอนที่อาจารย์เรียนขับรถ มือไม้สั่นไปหมด ผู้สอนก็บอกว่าหากคิดว่าพร้อมแล้ว จะ ชน จะเฉี่ยว ก็ต้องชน ต้องเฉี่ยว เพื่อให้เราเกิดการเติบโต และเรียนรู้ไประหว่างทาง สื่อออนไลน์ก็เช่นเดียวกัน เมื่อใช้ก็จะเกิดการเรียนรู้ และใช้อย่างเท่าทัน แต่ถ้ารู้ว่าไม่พร้อมก็อย่าไปยุ่ง ดูอยู่ข้างนอก อาจารย์ชอบดูหนังฝรั่ง ตอนท้ายที่ตำรวจจับผู้ต้องหาได้มีคำพูดหนึ่ง ที่ถือว่าเป็นมิรันดาไรท์ คือ  “คุณมีสิทธิ์ที่จะไม่พูด ไม่โวยวาย เพราะคำพูด คำโวยวาย และข้อเขียนของคุณ สามารถนำไปปรักปรำคุณในชั้นศาลได้” ดร.อัจฉริยา ให้ข้อคิดทิ้งท้ายก่อนจบการเสวนา

                                  http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1275568701&grpid=&catid=01

--
http://www.unblockallweb.com/
http://downmerng.blogspot.com
http://picasaweb.google.com/prainn999/14255302# ทัพผ่านฟ้าสู่ราชประสงค์ วันที่ 14 เมษายน 2553
http://www.unblockallweb.com/index.phpq=aHR0cDovL2Rvd25tZXJuZy5ibG9nc3BvdC5jb20%3D&hl=3e8
http://www.112victims.org/
http://www.thaifreenews.org/
http://friendfeed.com/
http://chirpcity.com/bangkok/3
http://www.radaroo.com/
http://factsforthais.blogspot.com/2009/05/7.html
http://tv.kapook.com/nbt.php
http://friendfeed.com/antactica
block
http://www.ustream.tv/channel/redheart
http://redpower-sm-germany.com

วันพฤหัสบดีที่ 3 มิถุนายน พ.ศ. 2553

มีเดียมอนิเตอร์ ชี้โลกออนไลน์ เหยื่อสังคมการเมือง

  • มีเดียมอนิเตอร์ ชี้โลกออนไลน์ เหยื่อสังคมการเมือง
  • Pic_87154

    มีเดียมอนิเตอร์ สรุปผลการศึกษาผลสำรวจปรากฎการณ์ความขัดแย้งทางการเมืองในเครือข่ายสังคมออนไลน์ พร้อมหยิบกรณี ทวิตเตอร์ เฟซบุ๊ค พันธิป และฟอร์เวิร์ลเมล มาเป็นแหล่งอ้างอิง...  

    วันนี้ (3 มิ.ย.) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย สมาคมนักข่าววิทยุและโทรทัศน์ไทย สถาบันอิศรา มูลนิธิพัฒนาสื่อมวลชนแห่งประเทศไทย คณะวารสารศาสตร์และสื่อสารมวลชน มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และโครงการศึกษาและเฝ้าระวังสื่อเพื่อสุขภาวะของสังคม ร่วมกันจัด การประชุมเครือข่ายวิชาการ และวิชาชีพสื่อสารมวลชน 1/2553 สื่อในวิกฤตการเมือง:สะท้อนปรากฏการณ์หรือแสวงหาทางออก โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อให้เกิดกระบวนการถ่ายทอดความรู้ ประสบการณ์ สะท้อนการทำบทบาทหน้าที่การทำงานของสื่ออย่างเป็นระบบภายใต้กรอบการทำงานเชิงวิชาการ และร่วมแลกเปลี่ยนความคิดเห็น อย่างมุ่งหวังให้เกิดผลประโยชน์อย่างแท้จริงในการประกอบวิชาชีพด้านสื่อสารมวลชน

    รายงานข่าวแจ้งต่อว่า งานนี้ได้รับเกียรติจากวิทยากรร่วมเสวนาหลายราย ประกอบด้วย นายภัทระ คำพิทักษ์ บรรณาธิการข่าวหนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์ นางสาวนฤมล ทับจุมพล คณะรัฐศาสตร์จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย นายมานะ ตรีรยาภิวัฒน์ คณะนิเทศน์ศาสตร์ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย และนางสาวอัจฉริยา อักษรอินทร์ ผู้อำนวยการสถาบันฝึกอบรมศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กและคอมพิวเตอร์แห่งชาติ หรือ เนคเทค (เคเทค อะคาเดมี่)  โดยมี นางสาวรัฏฐา โกมลวาธิน พิธีกร สถานีโทรทัศน์ทีวีไทย เป็นผู้ดำเนินรายการ 

    นายธาม เชื้อสถาปนศิริ ผู้จัดการกลุ่มงานวิชาการโครงการศึกษาและเฝ้าระวังสื่อเพื่อสุขภาวะของสังคม หรือ มีเดียมอนิแตอร์ กล่าวว่า มีเดียมอนิเตอร์ ได้ศึกษา ปรากฏการณ์ความขัดแย้ง โดยมีวัตถุประสงค์ เพื่อสำรวจตรวจสอบปรากฏการณ์ความขัดแย้งทางการเมืองในเครือข่ายสังคมออนไลน์ ที่เกิดขึ้นในช่วงเวลาของการชุมนุมระหว่างวันที่ 12 มี.ค.-30 พ.ค.2553 ด้วยวิธีการวิจัยเนื้อหา ผ่าน 4 กลุ่มช่องทางสื่อใหม่อย่าง

    1.เว็บเฟซบุ๊ค 2.ทวิตเตอร์ 3.เว็บบอร์ดพันธิป และ 4.การใช้ฟอเวิร์ดเมล์

    ผู้จัดการ ผ่ายวิชาการ มีเดียมอนิเตอร์ กล่าวต่อว่า  ผลการศึกษาพบว่า การใช้พื้นที่สื่อออนไลน์ เพื่อการสื่อสารทางการเมืองในระดับกว้างคึกคัก และเข้มข้นแต่ค่อนข้างไปในลักษณะที่สร้างความแตกแยกมากกว่าความสมานฉันท์ และการใช้สื่ออนไลน์ เพื่อการสื่อสารความขัดแย้งทางการเมืองระหว่างชนชั้นกลางและกลุ่มผู้ชุมนุม ระหว่างผู้สนับสนุนรัฐบาล และผู้ต่อต้าน แม้จะมีเหนือหาจากฝั่งกลุ่มผู้ชุมนุมคนเสื้อแดง/นปช.บ้าง แต่ก็พบว่าค่อนข้างน้อย อาจมาจากสาเหตุที่รัฐควบคุมหรือ สั่งปิดเว็บที่มีเนื้อหาหมิ่นประมาท ปลุกระดมและหมิ่นพระบรมเดชานุภาพและสะท้อนว่า ผู้คนที่ใช้สื่อออนไลน์ในเชิงสันติวิธีการหาทางออกและข้อเสนอแนะ ของวิกฤตปัญหาทางการเมืองนั้นยังอยู่ในระดับที่ไม่เข้มข้น แบ่งออกเป็น 5 ประเด็น ดังนี้

    1.กลุ่มรณรงค์ทางการเมืองผ่านเครือข่ายสังคมออนไลน์ เฟซบุ๊ค
    จากการสำรวจพบ 1307 เว็บ แบ่งเป็น 19 กลุ่มวัตถุประสงค์ มากที่สุด คือ

      1.กลุ่มต่อต้านคนเสื่อแดง

      2.กลุ่มรักในหลวง/รักสถาบัน

      3.กลุ่มรักประเทศไทย

      4.กลุ่มสนับสนุนแดง

      5.กลุ่มสนับสนุนรับบาล

      6,กลุ่มต่อต้านรัฐบาล

    ผลการศึกษาแสดงให้เห็นว่า จำนวนกลุ่มรณรงค์ที่มีวัตถุประสงค์ต่อต้านคนกลุ่มเสื้อแดงมีสัดส่วนมากสุด 32% รักในหลวง/รักสถาบัน11%รักประเทศไทย 9% สนับสนุนรัฐบาล 6%ขณะที่กลุ่มรณรงค์ทางการเมืองที่สนับสนุนคนเสื้อแดงมีเพียง9% จากสนับสนุน เสื้อแดง และ 6%จากกลุ่มต่อต้านรัฐบาล รวมกันเป็น 15% เท่านั้น
    แต่หากพิจารณาสำรวจจำนวนสมาชิก ของแต่ละกลุ่มเฟซบุ๊ค 30 อันดับแรก พบว่ากลุ่มที่มีจำนวนสมาชิกมากที่สุดคือ กลุ่มมั่นใจว่าคนไทยเกิน1 ล้านคนต่อต้านการยุบสภา(556,339 คนณวันที่ 30 พ.ค.53)

    2.ผู้ทรงอิทธิพลข่าวสารทางการเมืองข้อมูลข่าวสารผ่านไมโครเว็บทวิตเตอร์ แบ่งออกเป็น 5 กลุ่ม คือ

      1.เนื้อหาที่เน้นเผยแพร่ข่าวการเมือง

      2.กลุ่มเนื้อหาที่เน้นวิพากวิจารณ์การเมืองแต่มีเนื้อหาด้านอื่นสอดแทรก

      3.กลุ่มเนื้อหาที่เน้นข้อมุลการจราจร

      4.กลุ่มเนื้อหาที่เน้นด้านธรรมะ และ

      5.กลุ่มเนื้อหาที่เน้นพูดคุยทั่วไป อีกทั้ง ข้อมูลจากlab/thaitrend พบ 20 อันดับ ที่ถูกอ้างอิงมากที่สุดในทวิตเตอร์ เป็นนักข่าวทั้งหมด 9 คนจาก 10 คน สังกัด เครือเนชั่นมากสุดถึง 8 คน ที่เหลือเป็นบุคคลจากวงการต่างๆ เช่น ดารา นักร้อง นักเขียน เป็นต้น  

    สำหรับ 10 อันดับ ทวิตเตอร์ของบุคคลทีทมีผู้ติดตามมากที่สุด

      1.@suthichai/สุทธิชัย หยุ่น/บรรณาธิการเครือเนชั่น

      2.@noppatjak/นภพัฒน์จักษ์ อัตตนนท์/นักข่าวเนชั่นทีวี

      3.@Nattha_tvthai

      4.@Neaw_NBC/Neaw/นักข่าวเนชั่นทีวี

      5.@jin_nation/somroutai/นักข่าวเนชั่นทีวี

      6.@satien_nna/satien viriya /นักข่าวเนชั่นทีวี

      7.@can_nw/แคน สาริกา/บก.เนชั่นสุดสัปดาห์

      8.@paisalvision/ไพศาล พืชมงคล/บก.เว็บไซต์ส่วนตัว paisalvision.com

      9.@warakorn_NBC/Warakorn Pinrarod/นักข่าวเนชั่นทีวี
     10.@Cake_NBC/Phitchaphat/นักข่าวเนชั่นทีวี

    ที่มา: http://www.lab.in.th/thaitrend/mention.php วันที่ 31 พฤษภาคม 2553 เวลา 11.15 น. และ

    10 อันดับทวิตเตอร์ขององค์กรสื่อที่มีผู้ติดตามมกที่สุด ได้แก่

      1.@js100radio/ศูนย์วิทยุ จส.100

      2.@ktnews/กรุงเทพธุรกิจ

      3.@ThaiPBS/TVThai

      4.@nnanews/nation news agency

      5.@BBTVChannel7

      6.@PostToday/โพสต์ทูเดย์

      7.@Thairath_News/ไทยรัฐ

      8.@MatichonOnline/มติชน

      9.@voice_tv/ VoiceTV InternetTV

     10.@Thaipost/ไทยโพสต์

        ที่มา:  http://www.lab.in.th/thaitrend/mention.php วันที่ 31 พฤษภาคม 2553 เวลา 11.40 น.
    3.กระบวนการทางการเมืองผ่านเว็บบอร์ดสาธารณะ พันธิปดอทคอม เนื้อหาหลักของเว็บบอร์ดห้องราชดำเนิน แบ่งเป็น 5 กลุ่ม ดังนี้

       1.โจมตีวิพากษ์วิจารณ์ฝั่งตรงข้าม

       2.แจ้งข่าวสารเหตุการณ์ทั่วไป

       3.สื่อสารกันภายในกลุ่ม

       4.เปิดโอกาสให้แสดงข้อมูลสืบค้น แสวงหาข้อเท็จจริงของเหตุการณ์

       5.พูดคุย เสนอแนะทางออกอย่างสันติวิธี/รณรงค์สร้างความสมานฉันท์ ลักษณะภาษา ที่พบในห้องราชดำเนินแบ่งเป็น 3 กลุ่ม ดังนี้

        1.ภาษาที่ไม่เหมาะสมประชดประชัน เสียดสีฝ่ายตรงข้าม

        2.ภาษาที่สุภาพ แสดงความเป้นกลาง ปลอดอคติ และ

        3.ภาษาพูดทั่วไป 

    4.ฟอร์เวิร์ดเมล์ทางการเมือง จากการสำรวจจากการสุ่มศึกษา พบ 46 ฟอร์เวิร์ดที่มีการส่งกันระหว่างเหตุการณ์ชุมนุม โดยแบ่งออกเป็น 6 กลุ่ม เนื้อหามากที่สุด คือ

       1.กลุ่มวาทกรรมความรู้ ความจริงการชุมนุม /ความขัดแย้งทางการเมืองพบ 13 อีเมลล์

       2. กลุ่มวาทกรรมรักชื่นชมในหลวงและบุคคลอื่น พบ 9 อีเมล์

       3. มี 2 กลุ่ม คือ  1.กลุ่มวาทกรรมตลกล้อเลียน-และกลุ่มวาทกรรม ประณาม ประจาน เท่ากัน พบกลุ่มละ 8 อีเมล์

       4.มี 2 กลุ่ม คือ กลุ่มวาทกรรมล้มเจ้า และวาทกรรมโน้มน้าวรณรงค์ทางการเมือง เท่ากัน พบกลุ่มละ 4 อีเมลล์ 

    5.การสื่อสารทางการเมืองในเครือข่ายสังคมออนไลน์ แตกแยก/สมานฉันท์ แบ่งการสื่อสามรออกเป็น 2 แบบ คือ

      1.กลวิธีการสื่อสารเพื่อสร้างความแตกแยกทางการเมือง พบ 5 กลวิธี ดังนี้

        1.การแบ่งแยก

        2.การโต้แย้งโต้เถียงที่ดุเดือด

        3.การตรวจสอบ สอดแนมพฤติกรรม เฝ้าระวัง พฤติกรรม เฝ้าระวังพฤติกรรม /ทัศนคติบุคคล- กลุ่มบุคคลที่อันตราย

        4.การกล่าวหา ประณาม แฉ และชักชวนให้กีกกันทางสังคม

        5.การสร้างความเกลียดชัง และการปฏิเสธ การอยู่ร่วมกัน และ

      2.กลวิธีการสื่อสารเพื่อสร้างความสมานฉันท์ทางการเมือง พบ 5 กลวิธี ดังนี้

       1.การรวมกลุ่ม

       2.การแสดงความคิดเห็นในเชิงสร้างสรรค์

       3.การตรวจสอบเฝ้าระวัง การรายงานข่าวของสื่อ

       4.กลุ่มสื่อสารตรวจสอบขุดคุ้ยนำเสนอข้อมูลความจริงและความรู้ที่ปราศจากอคติ

       5.การสื่อสารวาทกรรมสันติภาพ การให้อภัย ความรักความสามัคคี  

    นายธาม กล่าวด้วยว่า  การศึกษาครั้งนี้ มีข้อเสนอแนะดังนี้ 

    1.ความน่าเชื่อถือของข้อมูล

    2.ความรวดเร็วของข้อมูล

    3.การหมิ่นประมาทและการละเมิดสิทธิส่วนบุคคล

    4.การแสดงความคิดเห็นบนพื้นที่สาธารณะ

    5.การรับส่ง สร้าง เผยแพร่ข้อความ

    6.อคติ ความเกลียดชัง ความรุนแรง

    7.บทบาทสื่อใหม่ในการเสริมสร้างคุณภาพของความรู้ ความคิดเห็นเสรีที่หลากหลาย และการส่งเสริมการสร้างความสมานฉันท์ ปรองดอง

    วาทกรรมล้มเจ้า และวาทกรรมโน้มน้าวรณรงค์ทางการเมือง เท่ากัน พบกลุ่มละ 4 อีเมลล์ 

    5.การสื่อสารทางการเมืองในเครือข่ายสังคมออนไลน์ แตกแยก/สมานฉันท์ แบ่งการสื่อสามรออกเป็น 2 แบบ คือ
     1.กลวิธีการสื่อสารเพื่อสร้างความแตกแยกทางการเมือง พบ 5 กลวิธี ดังนี้
       1.การแบ่งแยก
       2.การโต้แย้งโต้เถียงที่ดุเดือด
       3.การตรวจสอบ สอดแนมพฤติกรรม เฝ้าระวัง พฤติกรรม เฝ้าระวังพฤติกรรม /ทัศนคติบุคคล- กลุ่มบุคคลที่อันตราย
       4.การกล่าวหา ประณาม แฉ และชักชวนให้กีกกันทางสังคม
       5.การสร้างความเกลียดชัง และการปฏิเสธ การอยู่ร่วมกัน และ
    2.กลวิธีการสื่อสารเพื่อสร้างความสมานฉันท์ทางการเมือง พบ 5 กลวิธี ดังนี้
       1.การรวมกลุ่ม
       2.การแสดงความคิดเห็นในเชิงสร้างสรรค์
       3.การตรวจสอบเฝ้าระวัง การรายงานข่าวของสื่อ
       4.กลุ่มสื่อสารตรวจสอบขุดคุ้ยนำเสนอข้อมูลความจริงและความรู้ที่ปราศจากอคติ
       5.การสื่อสารวาทกรรมสันติภาพ การให้อภัย ความรักความสามัคคี  

    นายธาม กล่าวด้วยว่า  การศึกษาครั้งนี้ มีข้อเสนอแนะดังนี้ 
    1.ความน่าเชื่อถือของข้อมูล
    2.ความรวดเร็วของข้อมูล
    3.การหมิ่นประมาทและการละเมิดสิทธิส่วนบุคคล
    4.การแสดงความคิดเห็นบนพื้นที่สาธารณะ
    5.การรับส่ง สร้าง เผยแพร่ข้อความ
    6.อคติ ความเกลียดชัง ความรุนแรง
    7.บทบาทสื่อใหม่ในการเสริมสร้างคุณภาพของความรู้ ความคิดเห็นเสรีที่หลากหลาย และการส่งเสริมการสร้างความสมานฉันท์ ปรองดอง
    http://www.thairath.co.th/content/tech/87154

    เปิดผลทดลอง พิลึก พิลั่น แพร่ไวรัสคอมพิวเตอร์ใส่ร่างกายมนุษย์




    เปิดผลทดลอง พิลึก พิลั่น แพร่ไวรัสคอมพิวเตอร์ใส่ร่างกายมนุษย์

    Pic_86066

    นักวิทยาศาสตร์คอมพิวเตอร์แห่งประเทศอังกฤษ กลายเป็นมนุษย์คนแรกที่ติดเชื้อไวรัสคอมพิวเตอร์   หลังฝังชิพลงในข้อมือแล้วแพร่ไวรัสลงในชิพ   เพื่อทำการทดลองการแพร่กระจายของไวรัสคอมพิวเตอร์ผ่านร่างกายมนุษย์

    ดร.มาร์ค แกสซัน ผู้เชี่ยวชาญด้านไซเบอร์แห่งมหาวิทยาลัย Reading (University of Reading) ทำการทดลองด้วยการฝังชิพ RFID ลงในข้อมือของตัวเอง และใส่ ไวรัสคอมพิวเตอร์ลงในชิพดังกล่าว แล้วนำไปใช้งานเพื่อทดสอบการแพร่กระจายของไวรัสคอมพิวเตอร์ที่ถูกฝังลงในร่างกายมนุษย์

    ชิพ RFID (radio-frequency identification) ที่ฝังที่ข้อมือของ ดร.แกสซัน สามารถใช้เป็นใบผ่านในการเข้าออกพื้นที่ในบริเวณของมหาวิทยาลัยได้ รวมทั้งใช้ในการควบคุมการทำงานของโทรศัพท์มือถือส่วนตัว

    เมื่อทีมทดลองใส่ไวรัสคอมพิวเตอร์ลงในชิพแล้วทดลองเดินผ่านระบบเข้า-ออกของมหาวิทยาลัย เช่น เข้าไปในแล็บทดลองหรือห้องสมุด ก็พบว่าไวรัสที่ถูกบรรจุอยู่ในชิพแพร่กระจายเข้าสู่ระบบข้อมูลฐาน หรือดาต้าเบส ของมหาวิทยาลัยในทันที และเมื่อมีผู้ใช้บัตรผ่านหรือชิพ RFID รายอื่นผ่านเข้า-ออกระบบต่อจากนั้น เชื้อไวรัสก็จะแพร่กระจายต่อไปได้ในทันที

    ผลทดลองชี้ให้เห็นว่า ไวรัสคอมพิวเตอร์สามารถแพร่กระจายผ่านระบบไร้ สายได้ แม้จากสื่อที่ถูกฝังในร่างกายมนุษย์ ดังนั้นจึงมีความเป็นไปได้ ว่า อาจมีการใช้ไวรัสที่ช่วยทำให้ใครคนใดคนหนึ่ง สามารถข้ามผ่านระบบรักษาความปลอดภัยและบุกรุกเข้าไปในที่หรืออาคารที่ต้องการได้

    และแม้ไวรัสคอมพิวเตอร์ดังกล่าวจะไม่ส่งผลกระทบด้านสุขภาพและร่างกาย แต่หากประเมินจากการทดลอง สำหรับบุคคลที่มีชิพอยู่ในตัวเพื่อรักษาอาการเจ็บป่วย ซึ่งรวมทั้งบุคคลที่ใส่เครื่องช่วยฟัง เครื่องกระตุ้นหัวใจ กระตุ้นการทำงานของสมอง   อาจได้รับผลกระทบจากไวรัสคอมพิวเตอร์ได้   ซึ่งนับเป็นอันตรายอย่างยิ่งยวด หากอุปกรณ์เหล่านั้นที่ใช้ในการรักษาชีวิตไม่สามารถทำงานได้ตามปกติ.

    http://www.thairath.co.th/column/tech/cybernet/86066

    วันศุกร์ที่ 23 เมษายน พ.ศ. 2553

    ฐปนีย์ เอียดศรีไชย ถามว่า...อะไรคือ "ความจริง" ในช่วงที่บ้านเมืองเข้าสู่ "มิคสัญญีกลียุค"

    UDDThailand

    ฐปนี ย์ เอียดศรีไชย ถามว่า...อะไรคือ “ความจริง” ในช่วงที่บ้านเมืองเข้าสู่ “มิคสัญญีกลียุค”คำตอบ คือ ความจริงมีเพียงหนึ่ง...ในขณะที่ “เรื่องตอหลกตอแหล” มีเป็นสิบเป็นร้อยเรื่อง“ฐปนีย์ เอียดศรีไชย” ผู้สื่อข่าวรายการ “ข่าว 3 มิติ” ได้โพสต์ข้อความในทวิตเตอร์เกี่ยวกับเหตุการณ์ตำรวจไล่ตามจับกลุ่มคน “ปาระเบิดขวด”ซึ่งเป็นเหตุการ...ณ์ที่เกิดขึ้นต่อเนื่อง...ภายหลังกลุ่มผู้ไม่หวังดียิงระเบิด M79 บริเวณสถานีรถไฟฟ้าศาลาแดง เมื่อคืนวันก่อนที่ผ่านมาเธอย้ำว่า...เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับการตามตัวคนร้ายที่ยิง M79 แต่เป็นการตามตัวคนร้าย “ปาระเบิดขวด” ที่เข้ามาสร้างสถานการณ์รุนแรงให้ยิ่งย่ำแย่ลงไป“คุณฐปนีย์” เล่าเรื่องในช่วงที่เจ้าหน้าที่เข้าเคลียร์พื้น ที่หลังเวลา 5 ทุ่ม...โดยสถานการณ์บริเวณแยกสีลมเริ่ม “กลับเข้าสู่ภาวะปรกติ” แต่ไม่วายเกิดเหตุการณ์ “ตำรวจไล่จับผู้ร้าย” ซึ่งมีกลุ่มชายฉกรรจ์ 20 คนที่ปาระเบิดขวดวิ่งหนีไปหลัง “แนวทหาร”แต่ทว่ากลับถูกทหาร “เอาปืนจ่อหัว” บอกไม่ต้อง! เท่าที่ “คุณฐปนีย์” ได้สอบถามกับ “ตำรวจ” ทำให้รู้ว่า...กลุ่มคนที่ก่อเหตุไม่ใช่คนสีลมหรือคนเสื้อหลากสี...แต่เป็นกลุ่มคนที่ถูก “จัดตั้ง” โดยใครบางคนซึ่งตำรวจที่ถูกเอาปืนจ่อหัวเป็นถึง “รองผู้กำกับ” และ “ผู้บังคับหมู่”เธอย้ำอีกครั้งว่า...นี่เป็นข้อเท็จจริงไม่ใช่ความคิดเห็นส่วนตัว!เหตุการณ์ในสนามข่าว...เพื่อรายงานสถานการณ์ “ความเป็นจริง” ใครทำอะไร...ที่ไหน...อย่างไรคงทำให้ประชาชนคนไทยได้รู้ว่า...ยังมี “ลับ ลวง พราง” โดยมือที่มองไม่เห็นคอย “ชักใยสั่งการ” เพื่อให้เกิดความปั่นป่วนวุ่นวายในบ้านเมือง แล้วสุดท้าย “โยนบาป” ไปไว้ที่ฝั่งตรงข้ามถึงตรงนี้ท่านจะเชื่อ “ฐปนีย์ เอียดศรีไชย” ทีมข่าวช่อง 3 หรือจะเชื่อใคร...ผมเป็นเพียง “สื่อสารมวลชน” ที่นำเสนอข้อมูลข่าวสารแก่พวกท่านวิจารณญาณ คือ การคิดอย่างมีเหตุและมีผล “ตอนนี้สีลมนิ่งแล้ว...แต่เรื่องที่เกิดขึ้นก็ต้องตัดสินกันเองนะคะในการรับข่าวสารอย่างรอบด้าน...ดิฉันไม่ใช่นักข่าวมีสี...แค่ต้องการทำหน้าที่ผู้สื่อข่าวที่ควรทำ” คุณฐปนีย์...กล่าวทิ้งท้ายในทวิตเตอร์! ขอบคุณบางกอกทูเดย์ "sugar"


    --
    http://www.unblockallweb.com/
    http://downmerng.blogspot.com
    http://picasaweb.google.com/prainn999/14255302# ทัพผ่านฟ้าสู่ราชประสงค์ วันที่ 14 เมษายน 2553
    http://www.unblockallweb.com/index.phpq=aHR0cDovL2Rvd25tZXJuZy5ibG9nc3BvdC5jb20%3D&hl=3e8
    http://www.112victims.org/
    http://www.thaifreenews.org/
    http://friendfeed.com/
    http://chirpcity.com/bangkok/3
    http://www.radaroo.com/
    http://factsforthais.blogspot.com/2009/05/7.html
    http://tv.kapook.com/nbt.php
    http://friendfeed.com/antactica
    block
    http://www.ustream.tv/channel/redheart
    http://redpower-sm-germany.com

    อำมหิต!!


    วันที่ 23 เมษายน พ.ศ. 2553 เวลา 20:51:03 น.  มติชนออนไลน์

    อำมหิต!!

    โดย ประสงค์ วิสุทธิ์


    การยิงระเบิดเอ็ม 79 ถล่มสถานีรถไฟฟ้าบีทีเอส ศาลาแดงบริเวณถนนสีลมถึง 5 ลูกจนมีผู้บาดเจ็บร่วม 80 คนและเสียชีวิตแล้ว 1 คน และการยิงจรวดอาร์พีจีถล่มคลังน้ำมันขนาด 22 ล้านลิตรที่จังหวัดปทุมธานี เข้าข่าย"การก่อการร้าย"สมบูรณณ์แบบ ตามประมวลกฎหมายอาญา(มาตรา 135/1 ถึงมาตรา 135/4 ) เพราะการกระทำดังกล่าวมีองค์ประกอบความผิดตามกฎหมายอย่างครบถ้วนคือ


    (1)ใช้กำลังประทุษร้าย หรือกระทำการใดอันก่อให้เกิดอันตรายต่อชีวิต หรืออันตรายอย่างร้ายแรงต่อร่างกาย(มีผู้บาดเจ็บล้มตายจำนวนมาก) 


    (2)กระทำการใดอันก่อให้เกิดความเสียหายอย่างร้ายแรงแก่ระบบการขนส่ง สาธารณะ(ระบบรถไฟฟ้าขนส่งมวลชน)หรือโครงสร้างพื้นฐานอันเป็นประโยชน์สาธารณะ (คลังน้ำมัน)


    (3)กระทำการใดอันก่อให้เกิดความเสียหายแก่ทรัพย์สินของรัฐหนึ่งรัฐใด หรือของบุคคลใด อันก่อให้เกิดหรือน่าจะก่อให้เกิดความเสียหายทางเศรษฐกิจอย่างสำคัญ(ระบบขน ส่งมวลชนต้องหยุดให้บริการ-คลังน้ำมัน) แล้ว


    นอกจากนั้น ผู้กระทำ(ยังไม่มีหลักฐานระบุชัดว่าเป็นใคร)น่าจะมีเจตนาพิเศษหรือมุ่งหมาย เพื่อขู่เข็ญหรือบังคับรัฐบาลไทยให้กระทำหรือไม่กระทำการใดอันจะก่อให้เกิด ความเสียหายอย่างร้ายแรง หรือเพื่อสร้างความปั่น ป่วนโดยให้เกิดความหวาดกลัวในหมู่ประชาชน(ชาวบ้านหวาดผวา ไม่กล้าใช้รถไฟฟ้าทั้งลอยฟ้า-ใต้ดิน และรู้สึกไม่ปลอดภัยในการเดินทาง

    มีข้อน่าสังเกตว่า  การก่อการด้วยระเบิดในลักษณะเดียวกันอย่างต่อเนื่องมานานนับเดือนนับแต่การ ชุมนุมของกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ(นปช.)หรือกลุ่ม เสื้อแดง


    เป้าหมายที่ถูกกระทำทั้งหมดคือ หน่วยงานของรัฐ อาทิ ที่ตั้งทางทหาร บริษัทเอกชน  อาทิ ธนาคารกรุงเทพ ที่ นปช.มองว่า เป็นฝ่ายตรงข้าม ไม่มีกลุ่มเสื้อแดงเลย

    ดังนั้น ไม่ว่า ผู้ก่อการร้ายเป็นใครหรือกลุ่มไหน แต่เมื่อดูการกระทำแล้ว ต้องการให้สาธารณชนเห็นว่า เป็นการกระทำของกลุ่มเสื้อแดงหรือแนวร่วมของกลุ่มเสื้อแดง(หรืออาจเป็นการ กระทำของกลุ่มหรือแนวร่วมเสื้อแดงจริง?)


    การกระทำดังกล่าว จึงเท่ากับบีบให้รัฐบาลเร่งจัดการกับกลุ่มเสื้อแดงอย่างเฉียบขาด

     

    อย่างไรก็ตาม เมื่อเกิดเหตุการณ์ปะทะกันเมื่อคืนวันที่ 10 เมษายน 2553 มีผู้เสียชีวิตถึง 25 คน บาดเจ็บร่วม 1,000 คน จนถึงการยิงเอ็ม 79 ถล่มสถานีรถไฟฟ้าบีทีเอส ยิ่งทำให้สถานการณ์เปราะบางและมีความเสี่ยงสูงที่จะเกิดการนองเลือดครั้ง ใหญ่ตามมา ท่ามกลางการเผชิญหน้าของมวลชน 2 กลุ่มที่เคียดแค้น เกลียดชังกันอย่างรุนแรง


    ความเกลีดยชังกันอย่างรุนแรงนั้น  นอกจากการใช้สื่อของแต่ละฝ่ายปลุกเร้ากันมานานนับปีแล้ว สถานการณ์ของการชุมนุมยังทำให้ผู้ชุมนุมถูกตัดขาดจากการสื่อสารด้านอื่นๆของ สังคม แต่รับข่าวสารด้านเดียวจากแกนนำที่มุ่งปลุกเร้าความเกลียดชังกรอกหูอยู่ทุก เมื่อเชื่อวัน เช่นเดียวกับรัฐบาลพยายามใช้สื่อของรัฐในทำนองเดียวกัน


    ผู้นำรัฐบาลและแกนนำ นปช.รู้ว่า ในสถานการณ์เปราะบางเช่นนี้  ถ้าไม่ยอมถอยคนละก้าวเพื่อให้มีการเจรจากัน จะมีการเสียเลือดเนื้อครั้งใหญ่ตามมา


    ฝ่ายหนึ่งอ้างเพื่อรักษา"นิติรัฐ"  ขณะที่อีกฝ่ายอ้างว่า ต้องการ"ประชาธิปไตย" โดยยื่นเงื่อนไขให้อีกฝ่ายหนึ่งปฏิบัติก่อน จึงจะยอมเปิดเจรจา


     แต่แท้ที่จริงแล้วเป็นการยื่นเงื่อนไขเพื่อปิดทางการเจรจา และเดินเกมเพื่อให้บรรลุเป้าหมาย(ผลประโยชน์)และชัยชนะของตนเองโดยใช้ชาว บ้านที่เข้าร่วมชุมนุมเป็นเพียงเบี้ย


    การการะทำของผู้นำและแกนนำทั้งสองฝ่าย นับว่า โหดเหี้ยมอำมหิตยิ่งกว่า ผู้ก่อการร้ายที่ยิงเอ็ม 79 ถล่มสถานีรถไฟฟ้าบีที่เอสเสียอีก เพราะเป็นการฆ่าหมู่ โดยไม่คำนึงถึงความเป็นมนุษย์ ชีวิตและเลือดเนื้อของชาวบ้าน เพราะต่างทราบผลของการกระทำของตนเองดีกว่า  อาจจะมีผู้คนตายเป็นเบือมากกว่าครั้งไหนๆ


     ถ้าเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้นอีกครั้ง ผู้นำรัฐบาลต้องกลายร่าง"ทรราชย์"สมบูรณ์แบบ เช่นเดียวกับแกนนำ นปช แม้อาจได้รับชัยชนะบนซากศพของชาวบ้าน แต่ต้องถูกประณามว่า "หลอกคนมาตาย"

    http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1272023616&grpid=&catid=02


    --
    http://www.unblockallweb.com/
    http://downmerng.blogspot.com
    http://picasaweb.google.com/prainn999/14255302# ทัพผ่านฟ้าสู่ราชประสงค์ วันที่ 14 เมษายน 2553
    http://www.unblockallweb.com/index.phpq=aHR0cDovL2Rvd25tZXJuZy5ibG9nc3BvdC5jb20%3D&hl=3e8
    http://www.112victims.org/
    http://www.thaifreenews.org/
    http://friendfeed.com/
    http://chirpcity.com/bangkok/3
    http://www.radaroo.com/
    http://factsforthais.blogspot.com/2009/05/7.html
    http://tv.kapook.com/nbt.php
    http://friendfeed.com/antactica
    block
    http://www.ustream.tv/channel/redheart
    http://redpower-sm-germany.com

    เปิดคำให้การของ "เสื้อแดง" ก่อน "พิพากษา"




    นางวรนุช เชียงสาย


    นางธนพร โพธิ์เนียม อายุ 46 ปี อาชีพค้าขายเรียนจบชั้น ป.6 กับนางสุภาวดี เถาตะกู อายุ 50 ปี


    คุณยายชัชวลี ไทยทัน อายุ 64 กับคุณตาพร้อม ทับทิมพรรณ์ อายุ 67 ปี




    "หมี"


    ชาวอ.ส่องดาว


    นายประดิษฐ กาละทอน


    นางสมหมาย มาเกตุ อายุ 49 ปี ชาวสวนลำไย


    สาวน.ส.ศิริณัฐชา ศรีชัย อายุ 18 ปี


    นางบุญนิศา ไชยสาร อายุ 49 ปี






























    สาวเชียงใหม่








    ที่นอน


    แช่ข้าวเหนียว


    นอนบนรถ













    วันที่ 23 เมษายน พ.ศ. 2553 เวลา 14:30:12 น.  มติชนออนไลน์

    เปิดคำให้การของ "เสื้อแดง" ก่อน "พิพากษา"

    โดย สุชาฎา ประพันธ์วงศ์

    เปิดใจ รับฟังกัน  ตั้งคำถาม หาคำตอบ  เข้าอกเข้าใจ เห็นใจกัน กาวใจที่จะช่วยประสานรอยร้าวที่แตกระแหงไปทั่วทุกย่อมหญ้าให้บรรเทาเบาบางลง ได้ ไม่มีใครอยากลำบาก  เดือดร้อน ทุกคนล้วนเห็นแก่ตัวกันทั้งนั้น


    "กระโดดงับผลประโยชน์ กระโดดถีบผลกระทบ"


    คงปฎิเสธกลุ่มคนเสื้อแดงที่เข้ามาชุมนุมใน เมืองหลวงสร้างความเดือดร้อนรำคาญใจให้คนกรุงเทพมหานครและคนบางกลุ่มที่ไม่ พอใจกับการชุมนุมของคนเสื้อแดงที่ต้องออกนอนเกะกะกลางถนน เคยมีใครไปถามไมทำไมคนกลุ่มนี้ต้องมาลำบากลำบนกันขนาดนี้


    เพื่ออะไร 


    "รัฐบาลนี้เราไม่ได้เลือก คนจนถูกทอดทิ้งมาแล้ว 4 ปี  ต้องอดทนกับอำนาจรัฐที่ยึดจากประชาชน วันนี้ต้องลุกขึ้นมาสู้เรียกร้องสิทธิ์ที่ถูกปล้นไปเพื่อขอประชาธิปไตยที่ ช่วยให้คนจนได้ "ลืมตาอ้าปากได้" รู้ว่าสิทธิ์และเสียงมีส่วนสำคัญทำให้พวกเขามีข้าวสารกรอกหม้อ ไม่ใช่ส่งลูกปืนกรอกปาก


    ประชาธิปไตยของชาวบ้านการศึกษาไม่สูงส่ง เขารับรู้ได้ว่า "ทุกคนมีสิทธิ์ในสวัสดิการรัฐเท่าเทียมกัน  คนเดินดิน รู้ว่ายังมีถนนลูกรัง ลาดยางให้เดิน" แม้ จะเป็นนโยบายประชานิยมเรื่องการเมืองแต่เป็นสิ่งที่ประชาชนได้รับจริงๆ จากเงินงบประมาณแผ่นดินที่คนจนไม่เคยได้เข้าถึงตลอดชั่วอายุแต่แล้วต้อง ถูกกระชากออกไป

     

    "ยามเจ็บไข้อยากหาหมอ แต่ไม่มีเงินบัตร 30 บาท ที่เคยรักษาทุกโรคตอนนี้รักษาไม่ได้แล้ว ศูนย์โอทอปกลายเป็นเป็นพิพิธภัณฑ์แสดงสินค้า เงินที่เคยกู้มาลงทุนแบบไม่มีดอกเบี้ยไม่มีแล้ว พวกเราไม่มีเงินเดือนไปกู้ธนาคารไม่ได้ "


    คนเสื้อแดงไม่ได้หวังจะให้นายกฯคนเดิมกลับมาบริหาร จะเป็นใครก็ได้ที่ไม่ลืมคนจนไม้เหยียบพวกเราให้จมดินไม่มองประชาชนเป็นโจร 

     

    เหตุผลของคนเสื้อแดงที่ออกมาเคลื่อนไหวเพื่อแสดงไม่ใช่คนไร้ตัวตน 


    กว่า 1 เดือนที่เวทีปราศรัยคนเสื้อแดงยังคงดำเนินไปอย่างต่อเนื่อง ผู้ชุมนุมที่กระจายอยู่รอบๆสี่แยกราชประสงค์ที่ย้ายมาจากสะพานผ่านฟ้ายัง ดำเนินชีวิตบนถนนโดยมีเต็นท์ผ้าใบบังแดดกันฝน มีเชือกฟางกั้นอาณาเขตส่วนตัว เป็นที่พักหลับนอน มีห้องน้ำชั่วคราวที่ไว้ชำระล้างร่างกาย ทำจากผ้าใบขึงกั้นเป็นฉากบังสายตา

     


    กลิ่นอาหารปรุงเสร็จใหม่จากเตาแก๊ส เตาถ่าน เตาฟืน ลอยเตะจมูก มองเห็นคนกำลังเข้าแถวรอข้าวแกงตักใส่กล่องโฟมในเต็นท์ข้างเวที นางวรนุช เชียงสาย อายุ  45 ปี ชาวบางซื่อ แม่ค้าขายเครื่องหนัง ตลาดจตุจักร เรียนจบประถม 6  รับเป็นเจ้ามือเลี้ยงอาหารคนเสื้อแดง ทำมาตลอด 1 เดือนในการชุมนุมโดยควักเงินส่วนตัวครั้งละ 5-6 พันบาท

     

    "เราไม่เดือดร้อนทำไปก็สบายใจดีเลี้ยงลูกเลี้ยงหมาได้เลี้ยงคนแค่นี้ไม่เป็นไร"

     

    แม้จะไม่มีใครสนับสนุนให้มาชุมนุมแต่ก็อยากมา มาให้เห็นกับตาฟังคนอื่นพูดมามาก จึงอยากมาสัมผัสเอง พอได้มีเห็นก็ประทับใจ แกนนำไม่ได้ให้เด็กหรือผู้หญิงเป็นกำแพง แต่มีชายฉกรรจ์ที่อาสาเป็นคนนำป้องกันให้ผู้หญิงที่ทำหน้าที่หุงหาอาหารอยู่ ภายใน

     

    "ผู้คนในม็อบ กินด้วยกัน นอนด้วยกัน ลำบากด้วยกัน พวกเราจะไม่ทิ้งกันจนกว่าเป้าหมายจะบรรลุเอาประชาธิปไตยกลับคืนสู่ประเทศไทย"


    เราคนจนเคยผ่านความลำบากมามองเห็นว่าชาวบ้านเดือดร้อนกันจริง ถ้า ประชาชนอยู่ได้ประเทศชาติก็อยู่ได้ อะไรที่เราพอช่วยได้ก็ช่วยกันไป  จึงทำอาหารมาเลี้ยงผู้ชุมนุมตลอด ออกเงินเองทั้งหมด ถ้าเสียแค่นี้แล้วแลกกับเศรษฐกิจของประเทศดีขึ้น ทำให้เรามีกินมีใช้ เพื่อได้ผู้นำคนใหม่ที่ประชาชนเป็นผู้เลือก


    ที่ออกมาเรียกร้องเพราะอยากให้ทักษิณ (พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร) กลับมา แต่ถ้าไม่ได้กลับมาก็ไม่เป็นไร ขอแค่ผู้นำประเทศที่มองเห็นชาวบ้าน ดูแลชาวบ้านปราบยาเสพติดให้สิ้นซาก เหมือนกับสมัยทักษิณที่ทำให้ลูกเลิกยาบ้าได้ ถึง 3 คน ต้องขอบคุณ

     

    หลายคนถามว่าทักษิณกับในหลวงจะอย่างไร อธิบายไปว่า "เทียบกันไม่ได้ เราเอาทักษิณมาใช้งานมาบริหารจะมาเทียบกับพระเจ้าอยู่หัวที่เราเทิดทูนไม่ได้"


    ที่เราต้องมาขับไล่รัฐบาลนี้นอกจาก เศรษฐกิจไม่ดีแล้ว นายกฯพูดตรงข้ามหมดทำให้คนเกลียดกัน ถึงเราจะเป็นแม่ค้าไม่มีความรู้แต่ทหารจะมายิงคนไม่ได้ ข่าวที่ออกมามีแต่เสื้อแดงทำร้ายทหาร แบบนี้นายกฯยังเป็นผู้นำของประชาชนอยู่หรือไม่ นายกฯนั่งบัญชาการอยู่ในกรมทหารส่วนเราชาวบ้านอยู่ในพื้นที่เห็นทุกอย่างคิด จะถามประชาชนบ้างไหม

     

    หรือเห็นพวกเราไม่ใช่คน?


    "นายกฯต้องเป็นคนที่ประชาชนเลือก พวกเขาเลือกกันเองแบบนี้ไม่มีความเป็นธรรมแล้ว เราไม่ได้กากบาทเลือกประชาธิปัตย์มาบริหารประเทศ เศรษฐกิจของประเทศตกต่ำ ถ้ารัฐบาลต้องการปราบปรามประชาชนชน ทำไมไม่เรียกให้มารวมกันแล้วทิ้งระเบิดมาให้ตายกันให้หมดเลย ถ้าคิดจะล้างเผ่าพันธุ์คนเสื้อแดงแล้วก็ต้องฆ่าให้หมด ในเมื่อไม่เห็นค่าไม่เห็นว่าเราเป็นประชาชนก็ฆ่าทิ้งเสียให้หมด"


    สิ่งที่แม่ค้าเครื่องหนังลูกสาวทหารเกิดในกรมทหารกรมสรรพา วุธ สะพานแดง บอกถึงเหตุและผลที่ต้องออกมาชุมนุมโดยไม่มีใครจ้างมาด้วยใจล้วนๆ


    มาถึงกลุ่มคนเมืองกาญจนบุรี หญิงสาว 2 คนที่ทำหน้าที่เฝ้าข้าวของเครื่องใช้ภายในเต็นท์มีเพียงเสื่อและผ้ายางปูนอน นางธนพร โพธิ์เนียม อายุ 46 ปี อาชีพค้าขายเรียนจบชั้น ป.6 กับนางสุภาวดี เถาตะกู อายุ 50 ปี ภรรยา ตำรวจได้รับไฟเขียวจากสามีให้มาต่อสู้แม้ร่างกายไม่ค่อยแข็งแรงแต่อยากมา ร่วมต่อสู้ บอกด้วยแววตามุ่งมั่นว่าถึงลำบากก็ต้องทน ต้องสู้ พวกเราย้ายจากถนนราชดำเนินมาปักหลัก กินนอนกันกลางถนนจนเริ่มจะชินแล้ว

     

    หลังสถานการณ์สลายการชุมนุมทำให้เราไม่กล้ากลับบ้านเลย เพราะเราเป็นพี่น้องกัน ชีวิตเดียวกัน กินข้าวหม้อเดียวกัน จึงทิ้งกันไม่ได้


    "เราทนเห็นความอยุติธรรมไม่ได้ จึงออกมาเรียกร้องสิทธิ์ตามประชาธิปไตย ดูแลคนไม่ทั่ว ทิ้งคนจนอุ้มคนรวย คิดจะมาเหลียวแลกันบ้างไหม พวกเราต้องการให้รัฐบาลยุบสภา เลือกตั้งใหม่เพื่อได้รัฐบาลที่ถูกต้องไม่ใช้ปล้นเข้ามา ไล่นายกฯเลือกตั้งให้ทหารเข้ามาแทนพอเลือกตั้งใหม่นายกฯทำกับข้าวก็มีความ ผิดแต่นายกฯฆ่าคนกลับไม่ผิด"


    รัฐบาลที่เข้ามาต้องเป็นทักษิณหรือไม่ ?


    "เป็น"แต่ถ้าไม่ได้ ใครก็ได้ที่ทำให้ประชาชนอยู่ได้ ทำให้คนรากหญ้าเป็นเหมือนประชาชนคนไทย ไม่ใช่กีดกันคนชนบทออกไป ทำให้เกิด 2 มาตรฐาน คนปิดถนนเป็นผู้ก่อการร้าย คนปิดสนามบินเป็นผู้ก่อการดี จะพูดจะทำอะไรก็อย่าคิดว่าประชาชนโง่ ไม่รู้เรื่อง เสื้อแดงทำอะไรผิดหมดแค่นี้ความรู้สึกคนมันก็แย่พอแล้ว "


    สื่อวิทยุบอกว่าเสื้อแดงเป็น"ควาย" พูดแบบนี้เหมือนเราไม่ใช่คน บอกว่าพวกเรากินหญ้า มันกระทบจิตใจคนจนๆไม่มีพื้นที่ได้แสดงความคิดความเห็น ออกมาปรากฏตัวบนถนนยังไม่มีใครเห็นหัว แบบนี้สร้างความเคียดแค้นให้กับคนจนๆที่ทนมาหลายชั่วอายุคนแล้ว คำว่า "ควาย" มันหนักไปไหมกับชาวบ้านที่ออกมาเรียกร้องเพื่อปากท้องของตัวเอง ที่ยอมสละชีวิตเพื่อให้ประชาชนและลูกหลาน ที่นอนรอความหวังว่าชีวิตคนรุ่นต่อไปจะไม่ลำบากถึงจะไม่ร่ำรวยแค่โรงพยาบาล ที่เปิดรับ มีที่พึ่งในยามยากแค่นี้ก็เพียงพอแล้วสำหรับคนจน

     

    เรายอมรับได้ที่เรียกว่า"ไพร่ ทาส" เพราะเราเป็นพวกใช้แรงงาน


    พวกเราห่วงว่าลูกหลานที่กำลังเรียนจบจะไม่มีงานทำ เมื่อก่อนรักษา 30 บาทรักษาทุกโรคได้ แต่ตอนนี้ไปรักษาไม่ได้แล้ว สิ่งที่รัฐบาลชุดนี้บอกว่าเรียนฟรีแต่ทำไมพวกเรายังต้องควักเงินค่าเล่า เรียนลูกหลานอีก พวกเราให้โอกาสรัฐบาลนี้ทำงานแล้ว แต่ชีวิตคนรากหญ้าที่เป็นคนส่วนใหญ่ของประเทศ กลับไม่ดีขึ้น เปลี่ยนแปลงทุกอย่างที่ระบอบเก่าได้ทำไว้ให้ "ไม่มีเงิน ไม่มีงาน" ดึงทุกอย่างจากชนบทไปเทให้คนเมืองหมด

     


    ลำบากขนาดไหนก็ต้องทน 3 วันอาบน้ำครั้งเดียวเพราะมันไม่สะดวก ต้องทนร้อน  มีโอกาสก็กลับบ้านนอนพักเอาแรงก็มาใหม่ มีรถตู้ถึงเมืองกาญจน์ควักเงินตัวเอง บางครั้งก็นั่งรถไฟฟรี 

     

    หญิงผู้เป็นเมียตำรวจบอกว่า ที่บ้านนอน แอร์แต่ต้องมาทนนอนแบบนี้ มีเงินแต่ก็ซื้อของไม่ได้เพราะห้างปิดหนีหมดมีแค่เอราวัณกับห้างอัมรินทร์ ที่ยอมให้พวกเราเข้าห้องน้ำแบบไม่รังเกียจเปิดให้เข้า 24 ชั่วโมง แม้เท้าจะเปื้อนโคลนย่ำพื้นแฉะๆ ร้องเท้าขาด รปภ.เปิดรับหมด

     

    เสียงจากหญิง 2 คน ที่ระบายความอึดอัดถูกผลักให้เป็นที่รังเกียจของ "สังคม"


     

    กิจกรรมบนเวทียังคงดำเนินไปเรื่อยๆ ส่วนผู้ชุมนุมได้ผลัดเปลี่ยนกันไปที่หน้าเวทีรอฟังแกนนำแถลงข่าว ทาง ด้านหลังเวทีมีตายายคู่หนึ่งที่นั่งพับเพียบอยู่บนลังกระดาษที่ปูทับพื้นที่ เฉอะแฉะ มีพัดลม 1 ตัวที่สายไปมาทำให้อากาศตรงนั้นถ่ายเทและคลายร้อน คุณยายชัชวลี ไทยทัน อายุ 64  กับคุณตาพร้อม  ทับทิมพรรณ์  อายุ 67 ปี มีบัตรยืนยันว่าเป็นแดงแท้

     


    ตาย-ยายไม่กลัวรึ ?

    "แก่แล้ว กลัวทำไม อายุมากทั้งคู่แล้วจึงตัดใจ" คำตอบพร้อมกับรอยยิ้มจางๆบนรอยเหี่ยวย่นของสองตายยายก่อนจะอธิบายต่อว่า

     

    ที่ต้องกลัว คือ ความไม่ยุติธรรม ที่มันจะอยู่คู่กับชาติตลอดไป

     

    "ได้ยินว่าเขาจะสลายก็ต้องรีบมาเสริมให้คนมากๆเขาจะได้ไม่กล้าเข้ามาทำอะไร" คุณยายบอกในขณะที่คุณตาพยักหน้าชมเชยอุดมการณ์ของคู่ทุกข์คู่ยาก ที่อาสามาเป็นยามเฝ้าเวทีเดินทางไปๆกลับๆระหว่างเวทีราชประสงค์กับบางกรวย โดยคุณตาเป็นโชว์เฟอร์ขับรถมาส่งและมานั่งเป็นเพื่อนกันคอยช่วยเหลืออยู่ ฝ่ายเสบียง


    "ถ้ามีข่าวสลายก็ต้องปูผ้าพลาสติกนอนด้วยกันตรงนี้" คุณยายชี้ไปตรงที่นอนอยู่ไหม่ไกลจากที่นั่งอยู่ภายใต้กล่องกระดาษที่ปูทับ


    ยายรักคนเสื้อแดง มีน้ำใจ เอื้อเฟื้อ ประทับใจ ปกติไม่ชอบม็อบ แต่เราสบายใจที่จะทำเราทำในสิ่งที่ควรทำ ไม่ได้หวังว่าจะชนะ แค่ทำในสิ่งที่ถูกต้อง เราไม่ได้คิดจะมาโค่นเจ้าอย่างที่ใครๆใส่ร้าย เวลาข่าวในพระราชสำนักมามีแค่ยกมือท่วมหัวกันทั้งนั้น


    มาเรียกร้องอะไร ?

     

    อยากให้ความจริงชนะความเท็จ อยากให้คนเสื้อแดงทำสำเร็จ เพื่อจะได้เห็นบ้านเมืองของเราเป็นประชาธิปไตยที่แท้จริง ไม่มีคนถูกเอารัดเอาเปรียบอีก นายกฯที่ไม่มีมาตรฐานในตัวเองแม้แต่คำพูดของตัวเองที่เคยเสนอให้คนอื่นทำแต่ พอถึงคราวตัวเองกลับเลี่ยง นั่งดูทีวีที่บ้านแล้วมาวิเคราะห์กับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งหมดจากอดีตจน ถึงปัจจุบันมองเห็นอะไรหลายอย่าง


    "ดูจากทหารที่มีแค่กลุ่มเดียวเท่า นั้นที่ได้ดี การค้าขายรุ่งเรืองในไม่กี่ตระกูลจากได้สัมปทาน ทุกคนควรจะได้สิทธิเท่าเทียมกันถึงจะถูก"


    คุณยายชัชวลีเป็นอดีตข้าราชการกรมสามัญ บอกต่อว่า คน เสื้อแดงที่ถูกกล่าวหาว่าโง่ เป็นรากหญ้า แม่ค้า เกษตรกร คนจน ความจริงแล้วมีคนหลายกลุ่มที่ออกมาช่วยกัน คนจนจริงๆคงไม่มีเงินค่ารถ ค่าใช้จ่ายมาชุมนุม แต่พวกเราที่พอจะมีก็ช่วยกันบริจาคอาหารค่ารถช่วยขนกันมาน้ำใจจริงๆ ใครที่ไม่มาเห็นก็อย่ามากล่าวหากัน มีคนขับรถป้ายแดงคันหรูขนอาหาร บริจาคเงินให้คนเสื้อแดง แต่ไม่อยากออกตัวเพราะไม่อยากสู่กับอันธพาล

     

    "ถ้าทุกคนปรากฏตัวแฟร์ๆยุสภาเลือกตั้งใหม่ "

     

    วัฒนธรรมไทยสอนให้เด็กโง่ถ้าเด็กรู้จักตั้งคำถาม เด็กจะรู้จักคิดไม่เชื่อครูหมดประเทศไทยคงไม่เป็นแบบนี้ พรรคประชาธิปัตย์มีจิตวิทยาสูงในการใส่ร้าย ดูถูกอีกฝ่าย โดยการให้สัญลักษณ์ "เสื้อเหลืองไฮโซ เสื้อแดงต่ำต้อย"  แต่ในความต่ำต้อยมันแสดงให้เห็นว่าคนเท่ากันหมด ไม่มีใครวิเศษกว่าใคร

     

    คุณยายผู้มีการศึกษาสูงทนเห็นคนในประเทศถูก กดขี่ เอาเปรียบไม่ได้ จึงขอเสียสละชีวิตในบั้นปลายเพื่อมวลชน


    สำหรับผู้ที่ทำหน้าที่เป็นการ์ดเสื้อแดงคอยชนและไล่ทหารไม่ให้เข้าสลายการชุมนุม อย่าง "พี่หมี" ที่กำลังแต่งตัวเตรียมพร้อมไปปกป้องค่ายด้วยชุดกระชับรัดกุม เดินทางมาร่วมเป็นการ์ดตั้งแต่วันแรกของการชุมนุม หลังจากที่ชีวิตเคยรุ่งเรืองในยุคประชาธิปไตยเฟื่องฟูในความคิดของเขา บอกว่าออกรถป้ายแดงได้ 4 คัน แต่ตอนนี้เหลือแค่ 2 คัน ถ้าทนต่อไปอีกคงไม่มีอะไรกิน

     

    "เราต้องได้ประชาธิปไตยคืน ไม่อยากเห็นประเทศไทยมีสองมาตรฐานอีกต่อไป"

     

    ถ้าวันนี้ผมตายก็ไม่กลัวเพราะผมได้มาทำสิ่งที่จะตกไปถึงลูกหลานของผมแล้ว ถึงไม่มีผม ภรรยาและลูกผมก็อยู่ได้ ตอนนี้ก็ผลัดกันไปขายของ แต่ต้องมานอนที่ชุมนุมทุกวัน เพื่อทำหน้าที่ดูแลมวลชน เพื่อความปลอดภัยของพวกเขา พร้อมกับชี้ไปที่ผู้ชุมนุมบางส่วนที่นอนหลับกันเรียงรายริมถนนมี คนแก่และหญิงสาว

     

     


    หากมีการเลือกตั้งใหม่แล้วพวกเราแพ้ก็พร้อมถอยขอถ้าเลยว่าหากคิดว่าพวกเราเป็นคนส่วนน้อยก็ให้มาสู้กันในสนามเลือกตั้ง


    มาดูชีวิตผู้เฒ่าผู้แก่เดินทางมาจากภาคอีสานที่นอนเรียงรายเฝ้าเต็นท์จาก อ.ส่องดาว จ.สกลนคร นายประดิษฐ กาละทอน อาชีพชาวนา กล่าวว่า มา ชุมนุมต่อต้านความไม่ชอบธรรม ตอนนี้ของแพง พวกเราชาวบ้านเดือดร้อนสินค้าเกษตรตกต่ำ และรับไม่ได้ที่ไปยืมเงินต่างชาติ มาเพื่อแจก เป็นผลตอบที่ไม่คุ้มค่า พวกเราไม่ภาคภูมิใจเลยสักนิด


    บัตรประกันสังคมที่มีไว้เฉพาะคนกินเงินเดือน แต่ชาวนาไม่มีอะไรเลย ชนชั้นกลางได้รับสิทธิ์มากมาย แต่คนรากหญ้ามากกว่ากลับไม่มีการรองรับตรงนี้ บัตร 30 บาทรักษาทุกโรคก็รักษาไม่ได้ที่ อ.ส่องดาวบัตรใช้ไม่ได้อีกแล้ว


    แบบนี้ต้องยุบสภาอย่างเดียวทำงานแบบที่ไม่ดูแลคนแก่ประชาชนคนยากจนจะ เป็นนายกฯได้อย่างไร ปล่อยให้ยาเสพติดระบาดไปทั่ว ยุบกองทุนหมู่บ้านแล้วประชาชนจะเอาที่ไหนกินทำทุนชีวิตนี้ก็ต้องจนดักดาน อยู่อย่างนั้น เราไม่มีเงินเดือนที่จะไปกู้ธนาคารได้ "คนรวยมีหนี้ได้แต่คนจนห้ามมีหนี้หรืออย่างไร"  

     

     

    เราไม่ได้มาเพื่อเอาทักษิณกลับคืน แต่อยากได้นายกฯที่เข้ามาดูแลพวกเราไปเยี่ยมเยียนกันบ้างไปดูว่าพวกเราลำบากกันแค่ไหน

     

    "พวกเสื้อแดงรักพ่อหลวงเสมอยกใส่หัวตลอด สมัยก่อนเวลาท่านไปหาพวกเราก้มกราบนั่งกับพื้นดินไม่ได้ยืนรับแบบคนกรุงแล้ว มาอ้างว่าจงรักภักดีกว่าพวกเรา"


    วันนี้ ประชาชนต้องการความเสมอภาค นายกฯอย่าถือตัวว่าเป็นคนดี คนเก่ง ผู้นำควรลดตัวลงมาเสวนากับประชาชน นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี เป็นเด็ก ที่ทำให้คนแก่อย่างเราหมดหวังเ ข้าใจว่านายกฯคงเกิดในสังคมที่เจริญแล้วไม่มองสิ่งที่ต่ำกว่า ไม่รู้หรอกว่าประชาชนยากลำบากแค่ไหน

     

    ชาว บ้านจากอ.ส่องดาวยังได้ขนข้าวเหนียว อาหารแห้ง ไม้ฟืนที่เป็นเชื้อเพลิงในการ หุงหาอาหารนึ่งข้าวเหนียว มีมะละกอเป็นอาหารหลักไว้กินระหว่างชุมนุม  ชาวบ้านบางคนไม่ได้ใส่สีแดงแต่เป็นเสื้อที่เอามาจากบ้านนุ่งห่ม แม้จะเป็นเสื้อผ้าหลากสีแต่หัวใจสีแดง บางคนไม่มีเงินซื้อสีแดงมีเพียงเสื้อขาด วิ่น  คลุมร่างกาย และขอติดตามมากับรถคันที่จะมุ่งหน้าเข้ากรุงเทพฯ แบบเสื่อผืนหมอนใบ

     


    เมื่อก่อนเราเดินดิน ลูกรัง ตอนนี้มีถนนลาดยาง  รู้แล้วว่าความเจริญคืออะไร  คำพูดที่คุณตาชาวอีสานฝากไว้ให้คิดต่อ


    ถัดไปเป็นค่ายพักแรมของสาวๆชาวเหนือที่กำลังเตรียมเข้านอน หลังจากเหน็ดเหนื่อยจากการเตรียมเสบียงมาทั้งวันและไปเขย่าตีนตบท่ามกลางแดด ที่ร้อนจัด นอนกันกลางแจ้ง ไม่มีมุ้งกันยุง น่าเสียดายผิวสวยๆจะถูกยุงกัด แต่บรรดาสาวๆบอกพร้อมกันว่า "สู้แม้ยุงกัดก็ไม่กลัว" เสียงของสาวเสื้อแดงจากเมืองเชียงใหม่ที่นั่งรถบรรทุก 6 ล้อเคลื่อนจากเหนือเข้าสู่กรุงเทพเบียดเสียดกันมาเหมือน"ปลากระป๋อง" แล้วยังมานอนกลางถนนพื้นแข็งๆ อดทนกันมาเป็นเดือน


    "ต่อให้จ้างก็ไม่มาหรอก"

     

    สาวๆตอบหลังเจอคำถามแทงใจพร้อมกับ บอกว่า จริงอยู่เราไม่ใช่คนรวยแต่ก็ไม่ใช่คนจนทั้งหมดใครที่พอมีก็แบ่งกันช่วยกัน ออกค่าน้ำมันค่าอาหารลงขันกันคนละ 5 บาท10 บาท คนที่มาชุมนุมกลับบ้านไปกลายเป็น "วีรสตรี"(หัวเราะ)

     


    นางสมหมาย มาเกตุ อายุ 49 ปี ชาวสวนลำไย ร่างท้วมหนึ่ง ในกลุ่มผู้ชุมนุมบอกว่าการมาครั้งนี้ได้รับอนุมัติจากสามี พวกเรามาเพื่อประชาธิปไตย ชาวบ้านฉลาดแล้วข่าวสารที่นำเสนอเราคิดเป็นถึงจะบิดเบือนยังไงก็ตาม การที่รัฐบาลพยายามปิดสื่อเสื้อแดงยิ่งทำให้คนเป็นห่วงพี่น้องแห่กันมาเพิ่ม ขึ้น  เรียกว่ามาด้วยใจ มาด้วยอุดมการณ์ กลับบ้านไม่เกิน 4 วันก็ต้องมาใหม่เพราะว่าเป็นห่วง ข่าวที่ออกมาตรงกันข้ามเหตุการณ์ทั้งหมดเราอยู่ในพื้นที่รู้ดีทุกอย่าง


    มันยิ่งทำให้คั่งแค้นถูกยิง แก๊สน้ำตา จนตอนนี้ไม่กลัวตาย ถูกใส่ร้ายจนชิน พวกเราไม่มีที่ระบาย ทำได้แค่ไปคุยกันระหว่างอาบน้ำ พร้อมกับระบายความรู้สึกแลกเปลี่ยนกัน ถึงกรณีที่สื่อรายงานบิดเบือน บอกใครไม่ได้ก็ต้องคุยกันเอง


    ถ้าเราไม่ออกมาสู้ครั้งนี้คงไม่มีโอกาสได้ลืมตาอ้าปากไม่ได้อยู่แล้ว เหมือนกับพ่อแม่พี่น้องเราที่เห็นกันอยู่ว่าเป็นอย่างไร ถึงจะลำบาก จะร้อน พวกเราทนได้ ร้อนก็เอาผ้าขนหนูชุบน้ำเช็ดหน้า นายกฯคนนี้เราไม่ได้เลือกมาต้องยุบสภา เลือกตั้งใหม่ เสียงยืนยันจากชาวสวนลำไย


    นางบุญนิศา  ไชยสาร อายุ 49 ปี อาชีพผู้จัดการบ้านจัดสรร จ.อุบลราชธานีและลูกสาวน.ส.ศิริณัฐชา ศรีชัย อายุ 18 ปี เรียนที่วิทยาลัยนาฏศิลป์ จ.นครราชสีมา ลูกสาวแวะมาเยี่ยมระหว่างปิดเทอม กำลังพลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าหลังจากอาบน้ำเสร็จบอกว่า อยู่ เฉยไม่ได้จริงๆ แต่ก่อนไม่ได้สนใจอะไรมากมาย แต่กลัวว่าประชาธิปไตยจะย้อนกลับไปยุคเดิมประชาชนไม่ได้รับประโยชน์จากภาค รัฐ โครงการต่างๆที่เคยถึงประชาชนหายไปหมดแต่ไปเทให้กับคนชั้นกลาง

     


    นางบุญนิศา ในฐานะคน มีการศึกษาเรียนจบปริญญาโทบริหาร ย้ำว่า พวกเราที่มาชุมนุมรู้ว่าไพร่มีจริง จิตใต้สำนึกมันบอกเราว่าระบบอำมาตย์มีจริง ข้าราชการที่เจ้ายศเจ้าอย่าง กดขี่ประชาชน พูดจาไม่ดี ดูถูกคนจน ตัวเหม็น ทำท่ารังเกียจ ไม่เหมือนกับยุคที่ทำให้ระบบบริการประชนเป็นเหมือนบริษัท ทุกคนได้รับสิทธิในการบริการอย่างเสมอภาค

     

    ที่ต้อง ลุกขึ้นมาเรียกร้องไม่ได้ทำเพื่อตัวเอง แต่ทำเพื่อพี่น้องคนไทย ชาวนา ผู้ยากจน คงเพราะพ่อที่เป็นตำรวจสอนให้เราเป็นคนเถรตรงช่วยเหลือคนอื่นสอนให้มองคน เป็นคน


     

    เช็คช่วยชาติ 2 พันที่ได้รับมายังไม่ใช้เลยเพราะรู้สึกว่าเอาเปรียบคนจนไม่ภูมิใจ อยากเห็นคนส่วนใหญ่ได้มากกว่า พี่น้องเราชาวนาที่ลำบากกว่าเราแต่ไม่ได้อะไรเลยแบบนี้ไม่ยุติธรรม จึงต้องออกมาเรียกร้องประชาธิปไตยเพื่อคนส่วนใหญ่ ถ้าคนที่เข้ามาบริหารจากเสียงข้างน้อยมันไม่ใช่ประชาธิปไตย และคนส่วนใหญ่ของประเทศคือคนจน ไม่ว่ารัฐบาลใดก็ตามที่เข้ามาบริหารประเทศคนกลุ่มแรกที่ต้องดูแลคือคนจนต้อง ให้เขามีสวัสดิการจากภาครัฐ  ถ้าประเทศอยู่ได้เราก็อยู่ได้


    ความแตกต่างจังหวัดกับคนในเมืองมีความแตกต่าง กันมาก คนจนลืมตาอ้าปากไม่ได้เพราะไม่มีการศึกษา โอทอปซบเซา ยาเสพติดระบาด หากเราทำเพื่อคนหมู่มาก การที่รัฐบาลจ่ายค่าเบี้ยเลี้ยงทหารรวมกันแล้วเลือกตั้งใหม่ได้สบาย แต่รัฐบาลแสดงให้เห็นว่าประชาชนคนจนไม่ได้อยู่ในสายตา รัฐบาลกำลังคิดอะไรอยู่ 


    เราทำหน้าที่คอยชงกาแฟ โอวัลตินให้ชาวบ้าน มาอยู่ที่นี่ก็ลำบากแต่เราก็ต้องทนเพื่อชาวบ้านเพื่อญาติพี่น้องชาวนา ใช้เงินส่วนตัวเดินทางมาชุมนุม พาการ์ดส่วนตัวมาคอยดูด้วย เพราะเราต้องพกเงินติดตัวด้วย เนื่องจากเอทีเอ็มแถวนี้ไม่มีเงินให้กดเลย หมดไปเยอะแล้วเหมือนกันแต่คุ้มถ้าจะแลกกับการวางรากฐานที่ดี

    ทุกวันนี้ต้องคอยเตรียมตัวตั้งรับกับทหารมือเปล่าจะไปสู้ รถถัง ปืนกล ได้อย่างไร

     

     

    เสียงของคนจนที่ไม่อยากถูกผลักให้ตกขอบอีกต่อไป

     

     




    อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง
    เสียงกระซิบจาก"คนเสื้อแดง" อยากบอกดังๆ มีเลือด มีเนื้อ "เจ็บ" เป็นเหมือนกัน
    http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1272006503&grpid=01&catid=
    --
    http://www.unblockallweb.com/
    http://downmerng.blogspot.com
    http://picasaweb.google.com/prainn999/14255302# ทัพผ่านฟ้าสู่ราชประสงค์ วันที่ 14 เมษายน 2553
    http://www.unblockallweb.com/index.phpq=aHR0cDovL2Rvd25tZXJuZy5ibG9nc3BvdC5jb20%3D&hl=3e8
    http://www.112victims.org/
    http://www.thaifreenews.org/
    http://friendfeed.com/
    http://chirpcity.com/bangkok/3
    http://www.radaroo.com/
    http://factsforthais.blogspot.com/2009/05/7.html
    http://tv.kapook.com/nbt.php
    http://friendfeed.com/antactica
    block
    http://www.ustream.tv/channel/redheart
    http://redpower-sm-germany.com